ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ผลงานฟ้อง

๓๑ พ.ค. ๒๕๕๒

 

ผลงานฟ้อง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


 

ธรรมดาเขาก็เป็นพวกเขานั่นแหละ แล้วเขามาหาเรา พอเขามาหาเรา เวลาเราพูดไปเขาเกาหัวทุกทีเลย ได้ฟังแล้วเราเข้าใจนะ เข้าใจว่าทางโลก เขาฟังแล้วข้อมูล มันเหมือนกับคำพูดแบบว่าเราก็พูดคำว่านิพพาน โยมก็พูดคำว่านิพพาน ใครๆ ก็พูดคำว่านิพพาน แล้วมันผิดตรงไหน ก็คำพูดเหมือนกันนะ นิพพานเหมือนกัน แล้วผิดตรงไหน แต่คนหนึ่งพูดเพราะความรู้จริง คนหนึ่งพูดเพราะจำเขามา คนอื่นพูดเพราะแบบว่ามันเป็นนกแก้วนกขุนทองไม่รู้อะไรเลย แต่พูดคำเดียวกัน นี้พอโยมเข้ามาก็คำพูดมันก็เหมือนกัน มันผิดตรงไหน

คำพูดเหมือนกัน ก็กินนี่นะ กินก็กินเหมือนกัน แต่อาหารมันคนละภูมิภาค ทุกๆ อย่างไม่เหมือนกันสักอย่าง แต่กินเหมือนกัน มันเกาหัวใหญ่เลยนะ แล้วบอกว่าผิดอย่างไร เราพยายามอธิบาย แล้วเราเวลาสรุปกับพระที่มาหาเราเห็นไหม เขาก็บอกว่าหลวงพ่อพูดให้ผมเข้าใจเดี๋ยวผมจะปฏิบัติ แหม นกกับปลานี่มันจะพูดกันได้อย่างไร นกกับปลามันพูดทำความเข้าใจกันไม่ได้นะ โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา มันเป็นไปไม่ได้หรอก เหมือนกับเราจะพูดให้เด็กเข้าใจมันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าปฏิบัติเอ็งเข้าใจได้

ถ้าเอ็งปฏิบัติขึ้นมาเอ็งเข้าใจได้ แต่เราจะพูดให้เด็กมันมีความรับผิดชอบเหมือนผู้ใหญ่มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นี่ไง พระพุทธเจ้าถึงแยกโลกกับธรรมนี่ไง แต่พวกเรา เขาบอกว่าคำพูดเหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกัน มันจะว่าโลกกับธรรม มันก็คำพูดเหมือนกัน ถ้าคนไม่เข้าใจตรงนี้ ถ้าคนไม่เคยปฏิบัติจะไม่เข้าใจตรงนี้ อย่างพวกโยมแบ่งตรงนี้ไม่ออกหรอกเพราะไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ เอโกธัมโม ธรรมเป็นหนึ่งเดียว เอ็งก็ว่าความคิดเอ็งก็หนึ่งเดียว หนึ่งเหมือนกัน แล้วผิดตรงไหน แต่ผิด ไม่ใช่หนึ่งหรอก มันผลัดกันหนึ่งไง ของพวกเอ็งผลัดกันหนึ่ง

ถ้าความคิดนี้ขึ้นก็เป็นหนึ่ง เดี๋ยวก็คิดใหม่ได้เป็นอีกหนึ่ง หนึ่งนี้กับหนึ่งข้างหน้ามันคนละหนึ่ง แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์หนึ่งตลอด มันเป็นปัจจุบันตลอด แต่ของเรานะ ตอนนี้เป็นหนึ่ง เดี๋ยวคิดใหม่อันนั้นก็เป็นหนึ่งแล้ว อันนี้ไม่ใช่แล้ว อันนี้ไม่ใช่หนึ่ง เขาเกาหัวมาก แล้วเราเข้าใจว่าเขาไม่เข้าใจตรงนี้ แล้วเขาจะไปพูดให้คนนอกให้เข้าใจไม่ได้ แล้วเวลาเขาร้องไห้มาแล้ว เราบอกเขาเลย เอ็งจะพูดแทนหรือจำเขามาพูด ไม่ได้หรอก แล้วไม่ใช่หน้าที่ที่เอ็งจะไปแก้ แต่เวลาลูกศิษย์มาหาเรา เราจะพูดตรงนี้

เราจะพูดกับลูกศิษย์ เราพูดธรรมะ แล้วลูกศิษย์รู้จริงไม่รู้จริงนั่นเรื่องของลูกศิษย์ใช่ไหม แต่ไม่ใช่ว่าเอาลูกศิษย์ไปแก้คนอื่นมันเป็นไปไม่ได้ ประสาเรา เราบอกว่า โทษนะ หน้าที่กู ต้องรอให้ถึงเวลาก่อน แล้วเราก็บอกไปแล้วใช่ไหม บอกว่าให้ใจเย็นๆเดี๋ยวเว็บไซต์กูเสร็จแล้วมันจะเป็นไปอย่างนั้นเอง เราพยายามพูดกันเขาไว้แล้วนะ แต่แล้วเขาก็ไปทำ พอทำเสร็จแล้วก็กลับมาร้องไห้ เขาบอกว่าเขาไม่มีที่พึ่งแล้ว หมายถึงว่าพรรคพวกของเขาไม่เอาเขาแล้ว ไม่มีที่พึ่งแล้ว แล้วหลวงพ่อจะไล่ผมออกจากวัดไหม พูดแล้วเราก็สงสาร เราบอกว่าไม่ไล่หรอก แต่ก็ยังไม่ได้ถาม ถ้าเขาเข้ามาใหม่จะถามว่าแล้วเอ็งเอากูไปขายขนาดไหนละ แต่ตอนนั้นเขาเสียใจมากก็เลยยังไม่พูด แล้วเอ็งเอากูไปขายขนาดไหน

นี่ด้วยความปรารถนาดี ด้วยความคิดดีเหมือนพวกเรานี่ ทุกคนคิดดีหมดแหละ อยากปรารถนาดีกับเขา แต่มันจะได้ดีมากน้อยขนาดไหน แล้วอย่าง แล้วเขา เราพูดแค่นี้ก่อนนะ แล้วเขาก็เอาในโน้ตบุ๊คเขา ตัดออกมาเลย ตัดออกมาให้ฟังเลย หลวงพ่อฟังนี้หน่อยหนึ่ง เขาก็อธิบายธรรมะของเขา แล้วไปถึงจุดหนึ่ง เขาก็บอกว่าเขาเป็นพระ เขาภาวนา เขาไม่พูดตรงนี้ออกมา แต่เราได้ข่าวมาตลอดว่าในหมู่คณะของเขา เขาบอกว่าตอนที่เขาเป็นปะขาว เขาได้อนาคาแล้ว แล้วเขาบวชแล้ว เขาจะรีบภาวนาให้สิ้นจากกิเลส แล้วเขาก็อธิบาย อธิบายธรรมะออกมา พอเขาบวชเสร็จแล้ว เขาเร่งความเพียรมาก ๒ ปี ด้วยความอยาก เร่งความเพียรมากเลย แล้วมันไปไม่ได้

พอมันไปไม่ได้ปั๊บถึงที่สุดแล้วเขาก็ปล่อยวาง แล้วเขาก็มานั่งเพ่งต้นไม้ ต้นไม้มันยุบตัวลง มันสลายตัวลง เข้าถึงวิมุตติสุข สุขมาก สุขโอ้โฮ สุขสุดๆ เลย สุขจนถึงที่สุด จิตมันออก เริ่มออกรับรู้ ออกมารับรู้เรื่องขันธ์ ออกมารับรู้เรื่องปกตินี่ ผิดตรงนี้ไง ผิด เวลาหลวงตานะ ท่านไปที่วัดดอยธรรมเจดีย์เห็นไหม เวลาโลกธาตุแตก ปุ้ม! โลกนี้พลิกฟ้าคว่ำดินหมดเลย สิ้นกิเลสหมดเลย จิตนี้เป็นหนึ่งหมดเลย สุขมาก

สุขจนไม่รู้จะสอนเขาอย่างไร ไม่กล้าสอนนะเพราะมันสอนไปแล้วโลกจะเข้าใจได้อย่างไร อยู่กินไปวันๆ หนึ่งเถอะ ถ้าไปสอนเขา เขาจะหาว่าเราบ้า ก็เสวยวิมุตติสุขอยู่อย่างนั้น จนถึงที่สุด อ้าว ถ้าเราว่าเราสอนให้เขารู้ไม่ได้แล้วเรามาอย่างไร ฟังเปรียบเทียบนะว่าเรามาอย่างไร เรานี่ปฏิบัติมาอย่างไร มันมีข้อวัตรปฏิบัติมาใช่ไหม ถ้าเราปฏิบัติมา เราปฏิบัติได้ แล้วเราเป็นคน แล้วเป็นคนหรือเปล่า พระที่บวชเป็นคนหรือเปล่า ก็เป็นคนเหมือนกัน เขาก็น่าจะมีสิทธิที่จะรู้ได้ถ้าเราบอกวิธีการเขาคือสิ่งที่หลวงตาปฏิบัติมา

นี่ของหลวงตานะคือว่ามันสิ้นกิเลสแล้วมันสิ้นไปเลย จบ แล้วอันนี้มีโน้ตบุ๊ค มีหลักฐาน ถ้าอย่างไรแล้วเก็บไว้เป็นหลักฐานได้ พอพิจารณาจิต พิจารณาถึงมันยุบหมดเลย เสวยสมมุติสุขตลอด สุขมาก สุขมาก สุขจนอิ่มตัวแล้วคลายตัวออกมา มารับรู้เรื่องขันธ์ มารับรู้เรื่องขันธ์ มารับรู้เรื่องปกติชีวิตธรรมดา เพราะเขามีความคิดอย่างนี้ในหนังสืออริยสัจของเขา เขาถึงอธิบายลักษณะของนิพพานไง

ถ้าใครอธิบายลักษณะของนิพพานก็เหมือนธรรมกายไง ลักษณะนิพพาน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรารู้แล้ว โทษนะ ถ้าเป็นจริงอย่างนี้นะ อย่างดุลยพินิจของเรา หนึ่งเขาไม่เคยเห็นนิพพาน เขาไม่เคยเข้าถึงนิพพาน เขาไม่รู้จักนิพพาน เขาถึงพูดถึงนิพพานโดยผิด หลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราเข้าถึงนิพพาน นิพพานคือนิพพาน เสวยสุขเป็นนิพพานเป็นธรรมธาตุ เป็นส่วนหนึ่งของนิพพานเลย อยู่ของมันโดยธรรมชาติแล้ว อยู่ของมันโดยสัจจะความจริงแล้ว แต่เพราะเป็นนิพพาน เพราะเป็นสอุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ นิพพานที่ยังมีชีวิตอยู่ เศษส่วนร่างกายกับจิตใจมันยังมีอยู่ มันสื่อสัมพันธ์กันโดยสิ่งที่มีอยู่ มันไม่ได้คลายเข้าหรือออกหรอก มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น

เพราะพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่กับพระอรหันต์ที่ตายแล้วคือสอุปาทิเสสนิพพานคือพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่กับอนุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตไป สิ้นชีวิตไปมันสิ้นกิเลสแล้ว มันเป็นธรรมธาตุแล้ว มันเป็นวิมุตติ มันไปไหนไม่ได้แล้ว เป็นอกุปปธรรม เป็นของคงที่ตายตัว เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย แต่เพราะมันมีชีวิตอยู่ มีเศษที่เหลือ คือเราเกิดมามีชีวิตไง แล้วพอจิตนี้มันพ้นกิเลสไป มันเป็นสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติของมัน มันก็เลยสื่อความหมาย แต่อันนี้เขาอธิบายถึงว่ามันคลายตัวออกมา เห็นไหมคนที่รู้จริงเห็นจริง คนที่รู้จริงเห็นจริง จะต้องไปถามใคร มันก็ดำรงชีวิตไปโดยธรรมชาติใช่ไหม

แต่ถ้าคนไม่รู้จริง ไม่รู้จริง ไม่เห็นตรงนั้น คือเราดำรงชีวิตโดยธรรมชาติของพระอรหันต์ไม่ได้เพราะเราไม่ใช่พระอรหันต์ เราไม่ใช่พระอรหันต์ เราคิดของเราเอง พอเราคิดของเราเอง พอเราไปถึงตรงนั้นปั๊บ ด้วยความเข้าใจว่ามันว่างหมด มันปล่อยหมดเลย แล้วกูจะอยู่อย่างไร อยู่ตรงนั้นมันก็ไม่ใช่ มันจะถอยออกมามันก็ไม่ใช่ เพราะมันไม่มีอะไรเข้า ไม่มีอะไรถอยเพราะมันไม่ได้เป็นจริง แล้วมึงจะเอาอะไรมารองรับความคิดอันนี้ล่ะ ก็คลายตัวออกมารับรู้ไง คลายตัวออกมารับรู้ความคิดไง ก็ความคิดเป็นเราเป็นกัน

พออธิบายอย่างนี้ปั๊บเราเข้าใจหมด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราได้หนังสือ เขาเอามาให้กันเยอะแยะ ทุกคนเขาเอาหนังสือมาให้เรา อยากให้เราดู แล้วเราก็ไปเจอในอริยสัจของเขาว่านิพพานนี่เป็นอย่างนี้ เขาอธิบายนิพพานให้ลูกศิษย์ฟังนี่แหละ ถ้าอธิบายนิพพานให้ลูกศิษย์ฟังนะ เราจับได้ละ ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก ถ้านิพพานอธิบายได้นะ พระพุทธเจ้าอธิบายให้พวกมึงฟังแล้ว พระพุทธเจ้ายังไม่อธิบายให้ใครฟังเลย พระพุทธเจ้าบอกให้ทำไปถึงที่สุด

ในพระไตรปิฎกไม่ได้อธิบายถึงนิพพานเลยนะ มีแต่เปรียบเทียบ ครูบาอาจารย์เราถึงนิพพานแล้วท่านจะเปรียบเทียบนิพพาน เปรียบเทียบหมายถึงว่าถ้าลูกศิษย์คนไหนมีวุฒิภาวะ มีความเป็นไปได้ ท่านจะอธิบายเปรียบเทียบให้เราเข้าใจได้ แต่ไม่รู้ไม่เห็นหรอก เป็นไปไม่ได้ แต่อธิบายเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ เข้าใจแล้วเพราะคนมันมีวุฒิภาวะที่มันอยากจะทำใช่ไหม นี่พอเขาบอกว่าพอจิตมัน พอมันพิจารณาต้นไม้ ต้นไม้ยุบตัวพั้บ เข้าวิมุตติ สุขมาก สุขมาก แล้วคลายตัวออกมา อธิบายลักษณะนิพพานละ

เรามาฟังตรงนี้ปั๊บเราถึงไปจับเรื่องหนังสืออริยสัจของเขา อ๋อ มันมาอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เองมันถึงอธิบายอย่างนี้ พออธิบายอย่างนี้ปั๊บ เขาก็ถามว่าอย่างนี้แล้วหลวงพ่อบอกว่าเชื่อไหม เราก็บอกว่า กูยิ่งฟัง กูก็ยิ่งมั่นใจอีกหลายร้อยเท่าเลย อย่างเช่นเรา จิตเราสงบแล้ว เรามีที่อยู่ไหม เรามีที่จับต้องไหม เราจะเคว้งคว้างไหม ถ้าเราไม่จริงนะ ถ้าเป็นสมาธินะจะไม่ตื่นเต้นอะไรเลยนะ จิตสงบ โอ้โฮ มีความรู้สึกอย่างนี้ โอ้โฮ สมาธิเป็นอย่างนี้ เหมือนเราจับเพชรจับทองอยู่ โอ้โฮๆๆ แต่ถ้าคนยังไม่เป็นสมาธินะ อู้ ว่าง ว่างๆ มันไม่มีที่รองรับ ไอ้นิพพานนี่ก็เหมือนกัน มันไปแล้วไม่รู้ไปไหนนะ เอ๊ะ กลับมาค้นที่ความคิดอีก กลับมาอธิบายนิพพาน อ๋อ อย่างนี้เอง มึงจะอธิบายนิพพาน

แล้วนี่มันก็พูดถึงนะ พูดถึงแบบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งไปปฏิบัติ ผู้หญิงคนนี้เหมือนกับว่าผู้เฒ่าผู้แก่ปฏิบัติไม่เป็น เขาบอกเขาไม่เป็นหรอก เขาเห็นเป็นทางเดิน เห็นเป็นนิมิต แล้วนิมิตมันยุบตัวลง เขาบอกนี่ใช่ นี่ดี แล้วเขาก็บอกลูกศิษย์เขา คนที่ภาวนาเก่งๆ คนอยากเป็นนะภาวนาไม่ได้หรอก ไอ้คนภาวนาไม่เป็นมันจะได้ อ้าว กูก็งง คนภาวนาไม่เป็นมันจะได้ เพราะว่าเขาภาวนาไม่เป็น เขาไม่ต้องการอะไร เขาถึงได้โสดาบัน หนูไม่ได้อะไรนะ หนูไม่รู้อะไรเลย นั่นแหละโสดาบัน มึงว่าเป็นไปได้ไหม โสดาบันต้องให้คนอื่นบอกเปล่า แล้วก็ยืนยันว่าเป็นโสดาบัน แล้วเขาก็เชื่อกันว่าเป็นโสดาบันนะ

เราบอกว่านี่ไงคำพูดนี่มันจะหดสั้นนะ แล้วเขาก็พูดถึง บอกว่าถ้ามันเกิดความคิด คือเกิดภพ ไม่เกิดความคิดจะไม่มีภพ นี่ก็ผิด กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ภพนี่ ทำสมาธินี่นิ่งหมดเลย อัปปนาสมาธิ สักแต่ว่ารู้เลย นั่นก็ตัวภพ ไม่ได้คิดอะไรเลยคือตัวภพ ตัวภพคือตัวฐานะของจิต คือจิตที่มีมานะ มีตัวตน นั่นคือตัวจิต ปฏิสนธิจิต ไม่ใช่ความคิด เขาอธิบายว่าความคิดเป็นภพนะ โอ้ย เราฟังนะ เราฟังไม่ได้เลย

แล้วก็พูดถึงว่ามีคนมาถามเรื่องฌานสมาบัติ เข้ารูปาวจร อรูปาวจร เขาบอกว่า ไอ้คนนั้นมันบอกว่าเขาได้ฌานที่ ๓ เข้ารูปาวจร ออกจากรูปาวจร เขาบอกว่าอย่าเข้านะ ให้กำหนดพิจารณากายเลย กำหนดพิจารณาไปเลย เขาบอกว่านี่เข้าสมาบัติได้ กูก็ว่าเวรกรรม บอกไอ้นี่ถ้ามาหากูนะ ตายห่าเลย สมาบัตินะ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานา สัญญายตนะ เห็นไหม

นั่นฌานต้องเป็นอย่างนั้น คืออาจารย์ไม่เป็นอะไรเลย ใครมาก็สวมรอยกันไป สวมรอยกันมา นี่ก็มานั่งอธิบายให้ฟัง แล้วก็ถามว่านี่จะเชื่อไหม แล้วเขาไม่รู้ไง พวกโยมไปหาเขาหรือพวกนี้ไปหาเขา ใครก็ว่าเป็นลูกศิษย์สำคัญแล้วจะบอกเฉพาะบุคคล จริงๆ แล้วเขาบอกเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของเขาเหมือนกัน แล้วเขามาพยายามจะอธิบายให้เราเห็นว่าเขามีคุณธรรม เราไม่ยอมรับ บอกว่าไม่มีขณะจิต เราพูดตรงๆ เลยว่าไม่มีขณะจิต เขาอธิบายขณะจิตเลย

เขาบอกว่าขณะจิตอันนี้ไม่มีใครได้ยินหรอก แต่เขาเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ เป็นลูกศิษย์ภายใน เป็นลูกศิษย์ที่มีคุณต่อกัน เขาถึงอธิบายขณะจิตให้ฟัง เราฟังตอนนั้นเริ่มต้นมา เขาอธิบายมา เราจับประเด็นไม่ค่อยชัด แต่ชัดตอนที่เป็นอนาคา อนาคาคือแหวกจอกแหน ชัดเจนนะ แล้วพอถึงสิ้นสุดขณะจิตที่เป็นนิพพาน จิตก็เป็นแคปซูลแล้วทำลายแคปซูลนั้น ถ้าทำลายแคปซูลนั้นกับต้นไม้นี้ แล้วขณะจิตอันไหนจริง ขณะจิตอันไหนปลอม ทำไมนิพพานมันหลายทีแท้วะ นิพพานกับลูกศิษย์ข้างเคียงก็เป็นแคปซูล นิพพานกับพระที่มาเล่าให้ฟังก็เป็นต้นไม้ยุบตัวลง

ลักษณะคนโกหกมันโกหกตลอดไปนะ นี่ตรงนี้มันรับไม่ได้ ดังนั้นเราถึงมาพูดถึงว่าจะเป็นหลวงปู่ดูลย์หรือครูบาอาจารย์นี่นะ เราไม่ติดใจ หลวงปู่ดูลย์เราเคารพ เราเชื่อว่าหลวงปู่ดูลย์นี่สิ้นกิเลส เราเชื่อ หลวงปู่ดูลย์ท่านปฏิบัติของท่านจริงตามปัญญาของท่านเหมือนเรา อย่างเราทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ เราทำเก่งมากเลย เราจะไปสอนให้ลูกทำเหมือนเราไม่ค่อยได้หรอก นี่เหมือนกันหลวงปู่ดูลย์ท่านทำของท่านโดยถูกต้องของท่าน แต่คนจะมาก๊อบปี้หรือทำให้เหมือน มันไม่เหมือน แล้วถ้าพูดถึงลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ เราเคารพหลวงปู่ดูลย์มาก แล้วเราเคารพจริงๆ นะ เราไม่ใช่เอามาแบบว่าแดกดันอะไรทั้งสิ้นนะ แต่หลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นลูกศิษย์ใคร ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านสอนอะไร พุทโธไหม ถ้าจะอ้างเอาหลวงปู่ดูลย์มาหากิน ถ้าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ หลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์มาจากใคร ก็เป็นมาจากหลวงปู่มั่นสอน หลวงปู่มั่นเคี่ยวเข็ญมา

ประเด็น: ผมภาวนาครับ หลวงปู่หลับตานิ่งเงียบไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอลืมตาท่านก็แสดงธรรมทันทีว่าการภาวนานั้นไม่ยาก แต่มันยากสำหรับผู้ไม่ภาวนา ขั้นแรกให้ภาวนาพุทโธ จนจิตวูบลงไป แล้วตามดูจิตผู้รู้ไป จะรู้อริยสัจ ๔ เอง (หลวงปู่ท่านสอนศิษย์แต่ละคนด้วยวิธีที่แตกต่างกันตามจริตนิสัย นับว่าท่านมีอนุสาสนีปาฏิหาริย์อย่างสูง) แล้วท่านถามว่าเข้าใจไหม ก็กราบเรียนท่านว่าเข้าใจ ท่านก็บอกว่าให้กลับไปทำเอาเอง

พอขึ้นรถไปกลับกรุงเทพคิดเฉลียวใจขึ้นว่า ท่านให้เราดูจิตนั้นจะดูอย่างไร จิตมันเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนและจะเอาอะไรไปดู ตอนนั้นชักจะกลุ้มใจ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรก็ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆ จนจิตสงบลง แล้วพิจารณาว่าจิตจะต้องอยู่ในกายนี้แน่ หากแยกแยะเข้าไปในขันธ์ ๕ ถึงอย่างไรต้องเจอจิต จึงพยายามเข้าไปที่รูปว่าไม่ใช่จิต รูปก็แยกออกเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น หันมามองเวทนาแล้ว แยกออกไปเป็นอีกส่วนหนึ่ง ตัวสัญญาก็แยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขาร สังขารคือความคิดนึกปรุงแต่งโดยนึกถึงบทสวดมนต์ เห็นความคิดบทสวดมนต์ผุดขึ้นและเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับเอาตัวจิตผู้รู้ขึ้นมาได้

หลวงพ่อ: ผิดครับผิด ผิดครับ อธิบายตรงนี้ก่อน ตัวสัญญาแยกส่วนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขารถึงความคิดนึกปรุงแต่งโดยนึกถึงบทสวดมนต์ ความคิดบทสวดมนต์ผุดขึ้นและเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ตอนนี้ถึงเลยจับว่าตัวจิตคือผู้รู้ขึ้นมาได้ บทสวดมนต์น่ะใครเป็นคนเห็นมัน บทสวดมนต์เป็นจิตไหม บทสวดมนต์เป็นความคิดนะ บทสวดมนต์ หนังสือสวดมนต์เป็นหนังสือใช่ไหม เราไปท่องจำมาใช่ไหม จิตมันสงบก็ได้ เห็นบทสวดมนต์ขึ้นมามันเป็นจิตไหม

เห็นบทสวดมนต์ก็ไม่ใช่จิต หลวงปู่หล้าเมืองลาวนะอ่านหนังสือไทยไม่ออก เวลาจิตสงบไปแล้วหนังสือผุดขึ้นมาเลยจนท่องปาฏิโมกข์ได้ ปาฏิโมกข์กับเราเป็นอันเดียวกันหรือเปล่า ปาฏิโมกข์เป็นหนังสือใช่ไหม แล้วเราไปท่องปาฏิโมกข์มาใช่ไหม แล้วหลวงปู่หล้าท่านเห็นหนังสือเต็มไปหมดเลย แล้วท่านก็ท่องมา ท่องมา แต่ท่านภาวนาของท่าน

เห็นบทสวดมนต์ขึ้นมาและเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับได้จิตผู้รู้ขึ้นมาได้ จับได้คือจับบทสวดมนต์ได้ใช่ไหม ถึงบอกจับจิตได้ มันก็ยังไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก จิตคือจิต จิตไม่ใช่ความคิด ความคิดเป็นการแสดงออกของจิตเท่านั้น จิตเป็นพลังงานอันหนึ่ง แล้วความคิด จิตนี่เหมือนน้ำ เติมสีลงไปน้ำถึงออกเป็นสีนั้น คิดเรื่องสิ่งใดขึ้นมาจิตแสดงตัวออกชัดเจน แล้วจิตมันต้องทิ้งสิ่งนี้เข้ามา จิตจับจิตถึงจะเห็นจิต ความคิดนั่นแหละจับความคิด แต่ถ้าจับบทสวดมนต์มันเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องธรรมดาไง ขีดมาแล้วว่าเป็นปัญหา กูยังมองไม่เป็นปัญหาเลยนะนี่

ประเด็น: ปฏิบัติอยู่ ๓ เดือนจึงไปรายงานผลให้หลวงปู่ดูลย์ว่า ผมหาจิตเจอแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป

หลวงพ่อ: อ๋อ นี่เป็นหนังสือเขาเองเลย เป็นตัวเขาเองเลยใช่ไหม อ๋อ ยิ่งเป็นตัวเขาเองเลยเรายิ่งจับยิ่งชัด เรานึกว่าลูกศิษย์เขียนมา เอาใหม่

ประเด็น: หลังจากนั้นผมได้ตามดูจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถรู้ว่าขณะนั้นเกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นจะรู้ทัน กิเลสมันก็ดับไปเอง

หลวงพ่อ: ผิด เดี๋ยวจะตอบ “กิเลสมันก็ดับไปเอง เหลือแต่จิตผู้รู้” เพราะเขาเข้าใจอย่างนี้ไง เขาถึงเข้าใจผิด เราจะเอาตรงนี้ก่อนเลยก็ได้ เพราะเขาเข้าใจผิดอย่างนี้เห็นไหม พอความคิดเกิดขึ้นใช่ไหม พอเขารู้ทันกิเลสก็ดับ เขาเข้าใจว่าความคิดเป็นกิเลสไง เรารู้ทันความคิด ความคิดก็ดับใช่ไหม เห็นไหม นี่ความคิดเขานะ นี่เขาเขียนเองนะ ขณะที่เกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ “ถ้าเกิดขึ้นและรู้ทันกิเลสมันก็ดับไปเอง” ขณะจิตถึงเป็นอัตโนมัติไง ที่เขาว่าจิตเป็นอัตโนมัติ อัตโนมัตินี่กูรับไม่ได้นะ

คนผิดอย่างไรก็ผิด อ้าว เราคิดขึ้นมานะ แล้วเราก็รู้ทันความคิด ความคิดก็หยุด กิเลสดับนี่ไง ความคิดเกิดขึ้นมา พอเกิดรู้ทันกิเลสก็ดับ เขาไม่แยกว่ากิเลสกับความคิดคนละอันนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพระโสดาบันเวลากิเลสมันดับไปแล้วความคิดยังอยู่นะมึง

ถ้าความคิดไม่อยู่นี่ขันธ์ ๕ มันอยู่ที่ไหน พระอรหันต์นะกิเลสตายไปแล้ว หลวงตาพูดอยู่นี่เอาอะไรมาพูด ท่านจำคนนู้นคนนี้ได้เป็นสัญญาไหม เป็นความคิดหรือเปล่า กิเลสตายไปแล้วความคิดยังมีนะ กิเลสกับความคิดมันคนละตัวนะ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่กิเลส แต่ปัจจุบันนี้พวกเราขันธ์ ๕ เป็นกิเลสหมด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะกิเลสมันยึด มันเป็นพลังงานอยู่แล้ว นี้ขันธ์ ๕ มันเกิดจากอวิชชา เกิดจากพลังงานตัวนี้ มันก็เลยเป็นกิเลสไปด้วย

เวลาเราชำระกิเลสสะอาดไปแล้ว ขันธ์ ๕ มันก็เป็นความคิดเฉยๆ ไม่มีกิเลสเลย แล้วถ้าความคิดดับคือกิเลสมันดับ โอ้ย กูปวดหัว ปวดหัวน่าดูเลย ขอยากินหน่อย ไม่ใช่ กิเลสกับความคิดคนละเรื่องกันนะ แต่กิเลสมันอาศัยความคิดเป็นเครื่องดำเนิน อย่างรถมันต้องวิ่งบนถนน ถนนไม่ใช่ของเรานะ เราเป็นเจ้าของรถ แต่รถมันจะออกไปธุระมันต้องไปวิ่งบนถนนใช่ไหม

ความคิดมันเหมือนถนน กิเลสเรานี่มันเป็นพลังงาน เป็นตัวกิเลส ตัวอยาก พอตัวอยากมันอยากแสวงหาอะไรมันก็ผ่านความคิด เอาความคิดไปหากินไง กิเลสไม่ใช่ความคิด กิเลสเป็นกิเลสล้วนๆ เลย เอาหนังสือมานะ เอามาอ่านนะ โอ้โฮ กูจับผิดได้ทั้งเล่มเลย เราจับผิดได้ทั้งนั้นเลย

แต่เมื่อก่อนเราไม่พูดนะ ใครจะสื่อสารอะไรต้องผ่านคนนี้เพราะเขามีโทรศัพท์ ใครจะเข้ามาหาเราก็ต้องผ่านคนนี้ แล้วคนนี้จะพาเข้ามา แล้วส่วนใหญ่พอพาเข้ามาเขาจะนั่งฟังอยู่ด้วย คนนี้จะรู้เรื่องทุกเรื่อง ฉะนั้นพอมีอะไรเขาจะโทรศัพท์นัดมาแล้วเขาจะมาหาเรา แล้วเวลาเขาอธิบาย อธิบายเพราะว่าลูกศิษย์เขาเชื่อ คนนี้เขาจะบอกเราว่าหลวงพ่อ ทำไมหลวงพ่อไม่ยอมรับเขาล่ะ เขาก็พูดดี้ดี ทำไมหลวงพ่อไม่ยอมรับเขา บอกเราพูดกับเขานะ โธ่ กูกัดลิ้นกูไว้เลยนะ กูจะขำ ไม่พยายามขำ ก็เขาพูดมา เขาว่าเขาดี แต่เราเห็นจุดบกพร่องมหาศาลเลย เราเห็นจุดบกพร่องแล้วทำไมไม่บอกเขา เราก็บอกเขาว่าก็บอกเขามาหลายทีแล้ว แล้วพอบอกเขาแล้ว เขาก็บอกคนนู้นจะมากราบ จะมากราบ

สติ สตินี่เราเป็นคนยืนยันว่าเราเป็นคนบอกเขาเองเขาบอกสติไม่ต้องฝึก ทุกอย่างไม่ต้องทำอะไรหมดเลย ถ้าทำผิดหมด ถ้าตั้งใจผิดหมดเลย คือทำแบบไม่รู้ โทษนะ เหมือนลูกเรามันไม่รู้ มันไม่รู้เป็นพระอรหันต์ละ ทำแบบนี้ ทำแบบนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเป็นพระอรหันต์ เด็กๆ ถ้าทำแบบเราไม่ได้อะไรเลย ถ้าทำแบบนี้ เมื่อกี้แจกยาคูลท์นี่เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย ถ้าทำแบบไม่รู้ก็เป็นพระอรหันต์

มันจะเป็นไปได้อย่างไร เราถึงบอกว่าสติต้องฝึก หลวงตาจะเน้นตลอดเลย ถ้าไม่ฝึกสติไม่ได้นะ เริ่มต้นถ้าขาดสติ ความเพียรจะไม่เป็นความเพียรนะ ต้องตั้งสติ แล้วสติมันต้องฝึก ต้องพยายามสร้างขึ้นมา เขาบอกว่า สติสร้างไม่ได้ มันจะเกิดเอง สติเกิดเองนี่นะ ถ้ามันชำนาญแล้วมันจะเป็นของมันเอง ถ้ามันชำนาญ แต่ถ้าไม่ชำนาญมันทำไม่ได้หรอก สติจะเกิดเองไม่ได้หรอก

เรื่องสติลูกศิษย์มาถามเยอะมาก สติกับจิตเป็นอันเดียวกัน ไม่ใช่ ถ้าสติกับจิตเป็นอันเดียวกันนะ คนเราเกิดมาจิตมันอยู่กับเราตลอดเวลา แต่เราจะเผลอบ่อยมากเลย สติเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต สติคล้ายๆ ความคิด ความคิดลองคิดบ่อยๆ สิ คิดจนชำนาญ คิดเรื่อยๆ ความคิดอันนี้จะชัดเจน แล้วกูลืม เรายั้งความคิดเราไว้ พรุ่งนี้จะไปเที่ยว กลัวจะไปไม่ทัน พรุ่งนี้จะไปเที่ยว พรุ่งนี้จะไปเที่ยว โอ้โฮ มันคิดแต่เรื่องจะไปเที่ยวนะ จน เออ ใช่ๆ พรุ่งนี้จะไปเที่ยว สติเหมือนกัน ระลึกขึ้นมา สติๆๆๆ จนชำนาญนะ

“สติจะเกิดเอง” ถ้าสติเกิดเองนะ ขี้ลอยน้ำมา เรานอนเฉยๆ สติจะเกิดเอง นอนไปเหอะ มันตื่นเพราะมันปวดเมื่อย มันตื่นเพราะมันนอนจนมันปวด มันเมื่อย มันถึงตื่น สติจะเกิดเองก็เหมือนนอนให้สติเกิดเอง เป็นไปไม่ได้หรอก เราเน้นอันนี้ไปเขาก็เขียนใหม่เลย ทีแรกก็บอกไม่ต้องฝึกเลย พอบอกเขาเขียนใหม่เลยว่าสติมันจะเป็นเอง สติห้ามสร้าง สติสร้างกับสติเป็นเอง ทีแรกบอกไม่มีเลย

แล้วก็มาอันนี้เห็นไหม ถ้ามัน พอรู้ทันความคิดกิเลสมันดับไปเอง คำว่ากิเลสมันดับไปเองนี่มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปได้ไหม ถ้ากิเลสดับไปเองมันก็เหมือนกับฤๅษีชีไพรไง พอเข้าสมาธิ พอสมาธิมันว่างหมด มันปล่อยหมด มันก็นึกว่าเป็นนิพพานไง ถ้าสติจะดับไปเอง มันเหมือนกับเราเข้าสมาธิ แล้วเขายังปฏิเสธสมาธิอีกนะว่าสมาธิไม่ต้องทำ ทั้งๆ ที่เขาทำอยู่ เราถึงประกาศประจำ การปฏิบัติทุกลัทธิ ทุกแขนง ผลของมันคือสมาธิหมด ผลของมันเป็นสมถะ ผลของมัน แต่เพราะคนไม่รู้จักว่ามันเป็นสมาธิ เป็นสมถะหรือเป็นวิปัสสนาเลยเหมาเอารวมว่าเป็นนิพพาน

ผลของการปฏิบัติทั้งหมด เราพูดไว้พัฒนาการของจิต ที่เราพูดพัฒนาการของจิตเราพูดเพื่อตรงนี้ไง เราบอกว่ามึงไม่ต้องทำอะไรเลย มึงอยู่เฉยๆ จิตมันเกิดดับ จิตนี่พัฒนาการของมันเป็นอย่างนี้เอง แล้วเราไปตามดู มันก็เลยดู แล้วมันชัดเจนขึ้นมาก็เลยคิดว่าอันนี้คือนิพพาน พัฒนาการทางจิตไม่ต้องปฏิบัติ ไม่ต้องทำอะไรเลย ดูสตินี่ทุกข์ขนาดไหนเดี๋ยวก็ดับ ความคิดความโกรธขึ้นมานี่เดี๋ยวก็ดับ ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น จริงไหม ไม่ต้องปฏิบัติหรอก สติตามความคิดไปนี่มันดับหมด

ฉะนั้นการปฏิบัติทุกวิธีการ ผลของมันคือสมถะทั้งหมด ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามา เขาก็เอาตรงนี้เป็นนิพพานกัน แต่พระพุทธเจ้าปฏิเสธหมด พระพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมา แต่ปัจจุบันนี้ ไอ้พวกที่ปฏิบัตินี่คงจะมีพื้นฐานอ่อนแอมาก พอเขาเจอเรื่องแค่นี้เขาถึงตื่นเต้น ไม่ใช่ กิเลสดับไปเอง ไม่มี ถ้ากิเลสดับไปเองนะ พวกเราเข้าแถวเลย แหะๆๆ เดี๋ยวมึงเป็นนิพพานหมด เพราะกิเลสมันดับไปเอง

ประเด็น: เหลือแต่จิตผู้รู้ ซึ่งรู้ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆ หากเป็นอิสระจากกิเลสและอารมณ์ต่างๆ ต่อมาภายหลังผมได้หาหนังสือธรรมะมาอ่านจึงรู้ว่า ในทางปฏิบัติธรรม จัดเป็นการจำแนกรูปนามเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว

หลวงพ่อ: โอ้โฮ ล้มตึงเลย กูเอ้ย อย่างนี้ไงถึงไปรับรองโยมผู้หญิงคนนั้นว่าปฏิบัติไม่เป็นคือโสดาบันไง ปฏิบัติเป็นจะไม่ใช่ไง เพราะอะไรรู้ไหม

ประเด็น: ต่อมาภายหลังได้หาหนังสือธรรมะมาอ่าน จึงรู้ว่าในทางปริยัติธรรม จัดเป็นการจำแนกรู้รูปนาม จัดเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว แต่ในเวลาปฏิบัตินั้นจิตไม่ได้กังวลสนใจว่าเป็นวิปัสสนาขั้นใด

หลวงพ่อ: อันนี้เราบอกว่าผู้หญิงคนนั้นปฏิบัติไม่เป็นแล้วเขาบอกเป็นพระโสดาบันใช่ไหม “หนังสือธรรมะหามาอ่านจึงรู้ว่าในทางปริยัติจัดว่าเป็นการจำแนก จัดเป็นวิปัสสนาแล้ว” แสดงว่าตอนวิปัสสนามึงไม่รู้ว่าวิปัสสนา มึงไม่รู้จักวิปัสสนาเลยเนาะ เป็นพระโสดาบันแล้วยังไม่รู้จักว่าวิปัสสนาเป็นอย่างไรเลยเนาะ เหอะๆๆ ต้องให้หนังสือมาบอกว่าเป็นวิปัสสนาหรอก อ้าว มึงคิดสิ เอ็งกินข้าวอิ่มมาแล้ว เอ็งต้องไปหาหนังสือ อ๋อ หนังสือเขาเขียนว่าอิ่มเป็นอย่างนี้ อ๋อ กูเพิ่งรู้

เพิ่งรู้ว่าอิ่มตอนอ่านหนังสือ เหอะๆๆ มึงไม่รู้จักว่ามึงอิ่มหรือ มารู้เอาตอนอ่านหนังสือว่าหนังสือเขียนว่าอิ่มแล้ว บังคับให้กูอิ่ม กูก็อิ่มเลย แต่ตอนกินกูยังไม่อิ่ม แต่พออ่านหนังสือ หนังสือบอกให้อิ่ม กูเลยอิ่มด้วย เหอะๆๆ มันทางตรรกะ ให้คิดย้อนกลับ ใครพูดอะไรให้คิดย้อนกลับ ย้อนกลับความคิดเขา คำพูดของเขาเราย้อนกลับเราจะย้อนกลับนะ มันต้องมีที่มาที่ไป ถ้าเอ็งย้อนกลับปั๊บเอ็งจะเห็นเลย

พออย่างนี้ปั๊บนะแล้วก็ไปดูหนังสือที่เขาเขียนออกมา แล้วพูดถึงคำพูดของเขาที่ไปรับรองคนอื่น มันก็เป็นทัศนะคติอันนี้อันเดียวไง ผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนที่เขามาเล่าให้ฟัง ผู้หญิงเขาเถียงเอง หนูไม่รู้อะไรเลยนะ ยายภาวนาไม่เป็นนะ ยายอ่านหนังสือไม่ออกนะ เรายังถามเขาอยู่เลยว่ายายคนนี้มีตังค์หรือเปล่าวะ สงสัยยายคนนี้มีตังค์แล้วถึงได้เป็นโสดาบัน ถ้าไอ้นี่ไม่มีตังค์สงสัยคงไม่ได้เป็น เราถามลูกศิษย์เราเลย เฮ้ย ยายคนนี้แกมีตังค์หรือเปล่า เพราะมีตังค์ก็เลยเป็นโสดาบัน

เพราะอะไรรู้ไหม ก็มันเข้ากับอันนี้ไง มันเข้ากับแบบว่าในเวลาปฏิบัติจิตไปๆ มาๆ ไม่เข้าใจว่าเป็นวิปัสสนา ปฏิบัติอยู่ ๓ เดือนจึงไปรายงานผลกับหลวงปู่ดูลย์ว่าผมหาจิตเจอแล้วจะต้องพิจารณาอย่างไร เรายังไม่ได้อ่านคำตอบนะ ถ้าเป็นหลวงปู่ดูลย์ตอบนะ มึงยังไม่เห็นจิต เวลาปฏิบัติแล้วไปหาหลวงปู่ ยังไม่ใช่ ยังไม่ใช่ นั่นเป็นอาการของจิต เวลาไปดูจิตนี่นะ กลับไปหาหลวงปู่ดูลย์นะ หลวงปู่ดูลย์จะบอกว่าไม่ใช่ประจำท่านจะบอกว่าเห็นอาการ เห็นอาการ พอวิ่งไปหาหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์บอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่

มันก็เป็นอันเดียวกับที่เราพูดบ่อย ที่ญี่ปุ่น หมอเขารักษาคนไข้แล้วก็เป็นลูกศิษย์เซน ลูกศิษย์เซนเขาถาม ตั้งปัญหาขึ้นมาให้ลูกศิษย์ปฏิบัติ ตบมือข้างเดียวเสียงอะไร เขารักษาคนไข้ไปนะ เขาได้ยินเสียงน้ำตก จิตมันประหวัดไปว่าเสียงซู่ๆ โอ้ คงจะเป็นเสียงนี้ ก็ไปรายงานอาจารย์บอกว่าเสียงเหมือนน้ำตก ไม่ใช่ พอมันรักษาคนไข้ไป มันก็จิตของมันก็คิดวิตกวิจารไป พอได้ยินเสียงนกร้อง มันก็นึกไปหาอาจารย์ว่าเสียงเหมือนเสียงนกร้อง ไม่ใช่ ไม่ใช่อยู่ ๑๗ ปี สุดท้ายไปถามอาจารย์เขาเพราะจิตสงบแล้ว ถามอาจารย์ว่าเสียงตบมือข้างเดียวคืออะไร ไม่มีหรอก กูหลอกให้มึงคิด เสียงตบมือข้างเดียวไม่มี

แต่เสียงตบมือข้างเดียวคืออะไร คือให้จิตมันย้ำคิดอยู่ตรงนั้นเหมือนกำหนดคำว่าพุทโธ เสียงตบมือข้างเดียวคือเสียงอะไร จิตมันก็พยายามจะคิดว่าเสียงตบมือข้างเดียวคือเสียงอะไร เสียงตบมือข้างเดียวคือเสียงอะไร หลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิต ดูจิต จิตมันเป็นอย่างไร พอจิตมันสงบ จิตมันดีขึ้นมาก็วิ่งไปหาท่าน ไปรายงานท่าน หลวงปู่ผมเห็นจิตแล้วครับ ไม่ใช่ นั่นเป็นความคิด เป็นอาการของจิต

แล้วถ้าที่เขาพูด ถ้าเขาใช้ความคิด ความคิดหยุดแล้ว หยุดแล้วก็ไม่ใช่จิต ไม่เห็น ไม่เห็นหรอก แต่ถ้าเราสอนนะ ปัญญาอบรมสมาธิใช้ความคิดไล่ความคิดไป สิ่งที่ความคิดหยุด ใครเป็นคนหยุด ความคิดมันเกิดจากใคร ความคิดมันดับไปจากใคร แล้วใครเป็นคนคิด เราสอนอย่างนี้ แต่เขาพยายามจะบอกว่าเหมือนกัน เหมือนกัน พยายามจะบังคับให้เหมือนกัน เขาบังคับ ทำไมไม่ยอมรับเขา ไม่เหมือนเพราะดูเฉยๆ มันดูเพ่ง ดูเพ่งเป็นกสิน

แต่ปัญญาวิปัสสนาใคร่ครวญไม่ใช่ดูเพ่ง ดูแบบใคร่ครวญ เราเป็นเจ้าขององค์กร เจ้าของบริษัท เราต้องตั้งงบประมาณ เราต้องมีนโยบาย เราต้องมีบุคลากร เราต้องบริหารจัดการทั้งหมด แต่ดูจิตโดยที่ไม่พิจารณามันเหมือนกับภารโรง มันยืนอยู่หน้าประตู แลกบัตรไปแลกบัตรมา กูก็ดู ใครเข้ามากูเห็นทุกคนนะ กูเห็นทุกคน แล้วมึงทำอะไร ก็กูดูเฉยๆ กูไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเป็นเจ้าของ เจ้าของคือจิต ฉะนั้นมาบอกปฏิบัติอยู่ ๓ เดือนไปรายงานหลวงปู่ ผมหาจิตเจอแล้วจะต้องปฏิบัติต่อไปอย่างไร ถ้าเป็นความจริงนะ หลวงปู่จะบอกว่ายังไม่เห็นจิต เพราะอะไรนะ เพราะมันดับใช่ไหม พอกิเลสมันดับ แล้วมันเหลืออะไร เขาเขียนว่ากิเลสดับนะ แล้วนี่บอกเลย บอกว่าเห็นจิต มันกลับกันแล้ว

ประเด็น: คราวนี้ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมลึกซึ้งมากขึ้น เกี่ยวกับการถอดถอนทำลายอุปาทานในขันธ์ ๕ สอนถึงกำเนิดและการทำลายจิตวิญญาณ จนถึงเจริญอริยมรรค จนมีญาณเห็นจิตเหมือนมีตาเห็นรูป

หลวงพ่อ: อ้าว วงเล็บหลวงปู่ดูลย์เลยนะ

ประเด็น: ท่านสอนอีกว่า เมื่อเราดูจิตคือตามรู้จิตเรื่อยๆ ไปนั้น สิ่งปรุงแต่งจะดับไปตามลำดับ จนถึงความว่าง แต่ในความว่างนั้นยังไม่ว่างจริง มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยู่คือวิญญาณ ให้ตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป ความยึดในวิญญาณจะถูกทำลายออกไปอีก แล้วจิตจริงแท้หรือพุทธะ หลวงปู่เทสก์เรียกว่าใจจึงปรากฏออกมา คำสอนครั้งนี้ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนฝนตกทั่วฟ้า แต่ภูมิปัญญาของผมมีจำกัดจึงรองน้ำฝนไว้ได้เพียงถ้วยเดียว คือได้เรียนถามท่านว่า ที่หลวงปู่สอนมาทั้งหมดนี้ หากผมจะปฏิบัติด้วยการดูจิตไปเรื่อยๆ จะพอไหม หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า การปฏิบัติก็มีอยู่เท่านั้นแหละ แม้จะพิจารณากายหรือกำหนดนิมิตหมายใดๆ ก็เพื่อให้ถึงจิตถึงใจตนเองเท่านั้น นอกจากจิตแล้วไม่มีสิ่งใดอีก ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็รวมลงที่จิตเดียวนั่นเอง

หลังจากนั้นผมก็เพียรดูจิตเรื่อยมา มีสติเมื่อใดดูเมื่อนั้น ขาดสติแล้วก็แล้วกันไป นึกขึ้นมาได้ก็ดูใหม่ เวลาทำงานก็ทำไป พอเหนื่อยเครียดก็ย้อนดูจิต เลิกงานแล้ว ต่อมา..

หลวงพ่อ: ลัด ตัดเลย อ่านไม่ไหว โทษนะ โทษนะจะอาเจียน

ประเด็น: ต่อมา มันมีสิ่งละเอียดผ่านความรู้และคิดเป็นระยะ พอแต่ได้รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะจิตไม่มีความสำคัญมั่นหมาย ต่อมาจิตมีอาการไหวดับวูบลง สิ่งที่ผ่านมาให้รู้ดับไปหมดแล้ว แล้วก็รู้ชัดเหมือนตาเห็นว่าความว่างที่เหลืออยู่นั้นถูกแหวกพรวดอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลออกไปแล้ว ออกไปอีก กลายเป็นความว่างอย่างหมดจดอย่างแท้จริง ในความว่างนั้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วอุทานขึ้นมา เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรา

หลวงพ่อ: เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร เราแย้งได้หมด ถ้าเราแย้งแล้วมันแสบนะ จิตไม่ใช่เรา ถ้าเป็นโสดาบันนะ หลวงตาท่านอธิบายเห็นไหม เวลาจิตมันแยก กายเป็นกาย จิตเป็นจิตที่มันแยกออกเป็น ๓ ทวีปเลย จิตมันรวมลง จิตไม่ใช่เรา คำว่าจิตไม่ใช่เราจิตมันพูดเอง จิตไม่อิสระเลยนะ จิตตอนที่ลง คำพูดคำจามัน เพราะจิตนี้ไม่ใช่เรานี่เป็นขันธ์ใช่ไหม สัญญาไหม เป็นสังขารไหม ความคิด จิตไม่ใช่เราเป็นความคิดเปล่า จิตนี้ไม่ใช่เราเป็นความคิดไหม ถ้าความคิดกับจิตเป็นอันเดียวกันอยู่มันจะแยกได้ไหม เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรานี่เป็นความคิดเปล่า

แล้วตัวความคิดกับจิตมันยังคิดได้ ความคิดกับจิตมันยังเป็นอันเดียวกันอยู่หรือเปล่า แล้วมันแยกได้ไหม เวลามันพูดมันลืมไปนะ มันลืมไปว่ามีคนรู้นะ มันลืมไปว่ามีคนรู้ทันนะ มันก็อุทานขึ้นมา เอ๊ะ จิตนี้ไม่ใช่เรา เหอะๆ แล้วอุทานนี่เป็นสังขารหรือเปล่า มันอธิบายไม่ถูก อธิบายไม่เป็น โอ้โฮ ถ้ามันจิตมันวูบลงอย่างที่หลวงตาพิจารณากายแล้วมันขาด

อย่างของเราก็ได้ ของเราพิจารณาจิต เวลาขันธ์ ๕ มันขาด ขันธ์ ๕ มันขาด ปุ๊บ เอ๊อะ เออ อย่างนี้ไม่เสื่อมอีกเลย ไม่อยากจะพูดเพราะว่ามันลงเทป ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นเลยนะ เราก็จะคล้อยตามมันไป แต่บังเอิญกูเสือกรู้วะ กูเสือกรู้แล้วมันไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกัน เขาพูดนะ ให้ใครก็ได้พูด ใครพูดแล้วเหมือนนะ ใช่ หลวงตาท่านไปฟังหลวงปู่เขียนเห็นไหม หลวงปู่เขียน ๙ ประโยค

คนที่ขอนแก่นเขาเป็นลูกศิษย์ ลูกศิษย์หลวงตาด้วยลูกศิษย์หลวงปู่เขียนด้วย แล้วก็ไปทอดผ้าป่าหลวงปู่เขียน แล้วก็นิมนต์หลวงตาไปด้วย หลวงตาไปนั่งฟังอยู่ ท่านฟังหมดแหละ หลวงปู่เขียนเทศน์ ๙ ประโยค ท่านบอกว่าตอนนั้นยังไม่มีอะไร คือมันเป็นคำพูดทั้งหมด จับได้หมด คนเป็นนะฟังออก แล้วพอหลวงปู่เขียนกระดูกเป็นพระธาตุเป็นพระอรหันต์ ท่านสงสัยเป็นพระอรหันต์ตอนไหนวะ ก็ตอนที่ไปฟังมันยังไม่ใช่แล้วหลวงปู่บุญมี เห็นไหมถึงเอาเทปไปให้ท่านฟัง ท่านบอกท่านฟังเทปอยู่ตลอดเวลา ท่าน ๙ ประโยค ท่านก็ไล่ของท่าน แล้วท่านเป็นอัมพาต ๒๐ ปี ท่านนอนอยู่บนเตียง ๒๐ ปี ๒๐ ปีนี่ปฏิบัติอยู่ตลอดนะ คนไปไหนไม่ได้นอนแหมะอยู่ ๒๐ ปี มันฟังออก

ประเด็น: จากนั้นจิตมีอาการปิติ ยินดี ยิ้มแย้ม แจ่มใสขึ้นมาพร้อมๆ กับเกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง

หลวงพ่อ: อ๋อ คล้ายกับไอ้นั้นเลย พาราเมา ว้อ..

ประเด็น: เกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง จากนั้นจิตจึงรวมสงบลงอีกครั้งหนึ่งแล้วถอนออกจากสมาธิ เมื่อความรู้ต่างๆ กลับมาสู่ตัวแล้วกลับอุทานในใจ จิตไม่ได้อุปาทานอย่างทีแรก

หลวงพ่อ: แหะๆๆ นี่ขั้นที่ ๒ แล้วนะ นี่ ทีแรก กูบอกแล้วว่าจิตกับขันธ์เป็นอันเดียวกัน นี่จิตไม่ได้อุปาทานอย่างทีแรกวงเล็บด้วยนะ

ประเด็น: อ๋อ ธรรมะเป็นอย่างนี้เอง เมื่อจิตไม่ใช่ตัวเราเสียแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งในตัวเรา สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เป็นเราอีกต่อไป สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่เป็นเราอีกต่อไปนะ

หลวงพ่อ: เดี๋ยวดูผลตอบมัน

ประเด็น: เมื่อผมไปกราบหลวงปู่ดูลย์และเล่าเรื่องนี้ให้ท่านทราบ พอเล่าว่าสติละเอียดเหมือนเคลิ้มไป ท่านก็อธิบายว่าจิตผ่านฌานทั้ง ๘ ผมได้แย้งท่านตามประสาคนโง่ว่า ผมไม่ได้หัดเข้าฌานและไม่ได้ตั้งใจจะเข้าฌานด้วย หลวงปู่อธิบายว่าถ้าตั้งใจก็ไม่ใช่ฌาน และขณะที่จิตผ่านฌานอย่างรวดเร็วนั้น จิตจะไม่มานั่งนับว่ากำลังผ่านฌานอะไรอยู่ การดูจิตนั้นจะได้ฌานโดยอัตโนมัติ หลวงปู่ไม่ชอบสอนเรื่องฌานเพราะเห็นเป็นของธรรมดาที่ต้องผ่านไปเอง หากสอนเรื่องนี้แม้ศิษย์มัวสนใจฌานก็เสียเวลาปฏิบัติ

หลวงพ่อ: ถ้าอย่างนั้น ไอ้ตรงนี้ที่มันบอกว่าไอ้คนนี้ได้ฌาน เข้ารูปฌาน อรูปฌาน ไม่ใช่ ไม่ใช่ หลวงปู่ดูลย์จะไม่พูดอย่างนั้น คำว่าฌานมันรวดเร็วเนี่ย เราตอนนี้ยังไม่ได้อ่านข้างหน้านะ แต่เราตีความเลยว่าหลวงปู่ดูลย์ เห็นไหม จิตผ่านฌาน ทั้ง ๘ ใช่ไหม ถ้าฌาน ทั้ง ๘ ถ้าพูดตามเป็นจริงนะ มันต้องเป็นมรรค ๘ ไม่ใช่ฌาน ๘ ถ้าผ่านมรรค ๘ ใช่ ถ้าผ่านฌาน ๘ ไม่ใช่

ประเด็น: พอผมเล่าว่า จิตอุทานได้เอง หลวงปู่ก็บอกอาการต่างๆ ที่ผมยังเล่าไม่ถึงออกมาตรงกับที่ผมผ่านมาแล้วทุกอย่าง แล้วท่านก็สรุปยิ้มๆ ว่า จิตยิ้มแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว พึ่งรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาอาตมาอีก

หลวงพ่อ: เราไม่เชื่อนะนี่ ไม่เชื่อหรอก ถ้าไม่ต้องมาหาอาตมาอีก หลวงตานี่ กูไม่เชื่อตั้งแต่ที่นี้นะ ไม่เชื่อหมดเลย ถ้าจิตยิ้มแล้วนะ ถ้าเป็นจริงแล้วนะ นี่เราไม่เชื่อก่อนนะ แต่ถ้าเป็นจริง ไม่ต้องมาหาเรา หลวงตา หลวงปู่มั่นเคาะให้ออกมาพิจารณาอสุภะขั้นอนาคา ขั้นอนาคานะ พิจารณาอสุภะอยู่ หลวงปู่มั่นนอนป่วยอยู่ที่บ้านภู่ เดินจงกรมอยู่ข้างล่าง พอมีปัญหาขึ้นไป ป่วยอยู่นี่ลุกไม่ไหวเลย พอหลวงตาขึ้นไปกราบถามปัญหาธรรมะ หลวงปู่มั่นขึ้นมาตอบปัญหาเลย คนป่วยคนกำลังจะตาย แต่พอธรรมะเข้ามา ท่านยังจะลุกขึ้นมาตอบเลย เข้าใจไหม ไม่เข้าใจหลวงตาไม่ขยับเลย พอเข้าใจ เข้าใจ หลวงตาก็ลงมาปฏิบัติต่อ ท่านก็ล้มหงายนอนตึงเลย

เนี่ยถามตอบ ถามตอบอยู่อย่างนั้นจนถึงที่สุด เห็นไหม ตรงนี้ผ่าน ผ่านตอนเผาหลวงปู่มั่นก่อนไง พอ ๒๕๙๒ ผ่านมา ๒๕๙๓ หลวงตาไปเห็นจุดและต่อม ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ ผมจะผ่านคืนนั้นเลยเพราะหลวงปู่มั่นไม่อยู่ ผมต้องหาอยู่ ๘ เดือน แล้วพระอนาคามีมันจะรู้เรื่องเลยว่ามันติดอย่างไร ตัวเองข้องอย่างไร แล้วบอกไม่ต้องมาหาผมแล้ว เป็นโสดาบันไม่ต้องมาหาผมแล้ว กูไม่เชื่อ กูไม่เชื่อ หลวงปู่มั่น หลวงตาเป็นพระอนาคานะยังขึ้นถามแล้วถามเล่า ถามแล้วถามเล่า

หลวงตาเล่าประจำ ท่านนอนป่วยนะ ท่านนอนช่วยตัวเองไม่ได้เลยเพราะหลวงตาเป็นคนล้วงเสลด เป็นวัณโรค แล้วอากาศหนาวทางอีสาน ต้องล้วงเพราะหายใจด้วยตัวเองก็ไม่ได้ หายใจด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องเอาปากเข้าไปดูดเองเลย ดูดเชื้อวัณโรคออกมาจากปากหลวงปู่มั่นเลย แล้วเอานิ้วเข้าไปล้วงเอาเสลดออกมา ท่านยังช่วยตัวเองท่านไม่ได้เลย พอปัญหามันติดขึ้นไปกราบนะ ลุกขึ้นมานั่งเลย อธิบายเลย เข้าใจไหม เข้าใจไหมก็รอบหนึ่งแล้วนะ เข้าใจไหม หลวงตาท่านบอกไม่เข้าใจ ก้มเฉยๆ ก็อธิบายซ้ำ อธิบายซ้ำ เข้าใจไหม ถ้าเข้าใจก็กราบ ๓ ทีแล้วลง พอกราบ ๓ ทีแล้วลง พอหลวงตาลงมาเดินจงกรม ท่านก็นอนแผ่อย่างเดิมเพราะท่านป่วย แต่จิตไม่ป่วย แหม แล้วเป็นโสดาบันไม่ต้องมาหาผมแล้ว ทำเองได้เนี่ย มึงจะไปไหน

ไม่เชื่อเพราะถ้าเป็นหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นมาตลอด หลวงปู่มั่นเคี่ยวมาตลอด แล้วพอของเรานี่ได้แค่นี้แล้วปล่อยเลย โดยข้อเท็จจริงถ้ามึงไม่ได้ปฏิบัตินะ มึงก็พูดไป แต่คนปฏิบัตินะ แล้วเราพูดด้วยเรากันเองมันก็เหมือนกับว่าเราจะหาข้อมูลมาหักล้างเขา แต่เราเอาหลวงตาเป็นตัวอย่าง แล้วหลวงตาท่านพูดเองใช่ไหม ขึ้นลง ขึ้นลงกุฏินั่นแหละ เดี๋ยวก็ขึ้นไปถาม เดี๋ยวก็ขึ้นไปกราบ ไอ้คนหนึ่งก็ป่วยนะ เอาผมไปคืนนี้นะ เอาผมไปคืนนี้นะ ผมจะไปตายอยู่นั่น ไอ้พอขึ้นไปกราบก็ลุกขึ้นมาตอบ ขึ้นมาตอบ โธ่ แก้จิต

หลวงปู่มั่นพูดไว้แล้ว หมู่คณะพากันปฏิบัตินะ แก้จิตมันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าตายไปแล้วจะไม่มีใครแก้นะ แล้วนี่บอกว่าไม่ต้องมาหากูเลยนะ มึงไปแก้กันเองไป โห้.. ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัตินะ เราอยู่ในวังวนของกิเลสด้วยกัน กูก็จะเชื่อมึงนะ ไอ้เราเองก็นะ โอ้โฮ แลบออกมาจากร่องตีน โดนเหยียบปลิ้นออกมาจากร่องเท้า โดนเหยียบมาจนแลบไปแลบมา เราเอาชีวิตเรา ไม่ใช่มันติดขัด ติดขัดที่ว่าจะพูดอะไรเอาตัวเองอ้าง มันมีเขามีเราไง มันติดขัด มันพูดไม่ได้เต็มปาก พูดเต็มปากก็จะหาว่าอวด

ประเด็น: เมื่อแสดงธรรมเรื่อย จิตเหนือเหตุหรืออเหตุกจิต มีใจความว่าอเหตุจิตมี ๓ ประการคือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของจิตขึ้นสู่อารมณ์ มโนทวาราวัชชนจิต หสิตุปปาทจิต หรือจิตยิ้มเป็นการแสดงความเบิกบานของจิตที่ปราศจากปรุงแต่ง เพื่อแสดงความมีอยู่ของจิต ซึ่งไม่มีตัวตนไปปรากฏความรู้ออกสู่ความรับรู้ อเหตุกจิตสองอย่างเป็นของสาธารณะที่มีทั้งในปุถุชนและอริยเจ้า แต่จิตยิ้มเป็นโลกุตตรจิต เป็นจิตสูงสุด เกิดขึ้นเพียง ๓-๔ ครั้งก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์

หลวงพ่อ: อ๋อ.. อันนี้นะ อันนี้เขาว่าอยู่ในพระไตรปิฎกไหม อันนี้ ไอ้อเหตุกจิตของเขาว่านี่ มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกอธิบายไว้ไหม เราไม่รู้นะ นั่นอะสิ เราจะบอกศัพท์อย่างนี้มันเป็นศัพท์ของใคร เพราะเมื่อก่อนเราเข้าใจว่าคำว่าจิตยิ้มของเขาคือพระโสดาบัน นี่เขาก็บอกอย่างนี้นะ อย่างแรกเป็นสาธารณะมีสอง จิตยิ้มเป็นโลกุตตรจิต เป็นจิตสูงสุดเกิดขึ้นเพียง ๓-๔ ครั้ง คือจิตยิ้มนี้ยังไม่ใช่ไง ๓-๔ ครั้งถึงที่สุดแห่งทุกข์ เกิดขึ้นเพียง ๓-๔ ครั้งก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วนี่พอจิตยิ้มมาเป็นโสดาบัน แล้ว ๓-๔ ครั้งมันสิ้นสุดแห่งทุกข์ อ๋อ ลัดสั้นอีกละสิ เดี๋ยวนะ ตรงนี้ค้านได้อีก ค้าน ค้านตลอด ค้านตลอด ไม่เห็นด้วยสักอย่างหนึ่ง

ประเด็น: หลังจากนั้นผมก็ได้ปฏิบัติด้วยการดูจิตเรื่อยมา และเห็นว่าเวลามีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้นและกาย จะมีคลื่นวิ่งเข้าสู่ใจ แหะๆ ไอ้แท่งๆมาอีกละ มีคลื่นวิ่งเข้าสู่หัวใจดอกเตอร์ก็พูด... ทีแรกเราไปเพราะเพื่อนเขา อาจารย์ที่สอนมาด้วยกันเขาชวนเราไป เขาไม่บอกเรา เขาบอกว่าเขาจะให้ไปแก้ไง นี้พอเราไปพูดกับเขา เราก็พูดกันพอประมาณเพื่อจะให้เขาได้สำนึกและให้เขามีทางออก แต่พอกลับมาแล้วเขาบอกว่าเขาเป็นพระอรหันต์ไง โอ้โฮ ถ้าเป็นพระอรหันต์นะ ถ้าหลงแล้วกูเอาตายห่าเลย

เขาพูดอย่างนี้ เขาบอกว่าแต่เดิมจิตเป็นความคิด เขาต้องพิจารณามันถึงจะดับ ดับ ดับตลอด แล้วตอนหลังไม่ต้องพิจารณาเลย จิตเขานี่เป็นแท่งเลย เหมือนกับแท่ง แท่งเสามันสว่างตลอดเวลา แล้วความคิดจะวิ่งมาชนแล้วดับไปเอง แล้วพอเป็นพระอรหันต์ก็ประกาศว่านี่คือขณะจิตของพระอรหันต์อย่างนี้ พระอรหันต์อย่างนี้ไม่ได้นะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะแท่งนี้มันมีใช่ไหม ตัวตนมันมีใช่ไหม ความคิดวิ่งมากระทบใช่ไหม มันว่างหรือเปล่า ยังมีการกระทบ มันว่างไหม นี่มาอีกแล้ว

ประเด็น: หัวใจมันมีการเป็นคลื่นเข้าสู่ใจ หากขณะนั้นขาดสติจิตจะส่งกระแสไปยึดอารมณ์นั้น ตอนนั้นจิตไม่ละเอียดพอ พอเข้าใจว่าจิตวิ่งไปยึดอารมณ์แล้วขยับไปเสวยอารมณ์ ตัวเสวยอารมณ์อยู่จึงไปเรียนหลวงปู่ทราบ หลวงปู่ตอบว่าจิตจริงแท้ไม่มีการไปและไม่มีการมา

หลวงพ่อ: จิตจริงแท้นี่เราพูดบ่อย พระอรหันต์ไม่มีจิต จิตจริงแท้ไม่มีการไปและไม่มีการมามันเป็นการอธิบายธรรมะ ธรรมะของพระอรหันต์มันไม่มีการไปและไม่มีการมาเป็นปัจจุบัน แต่จิตจริงแท้มันเป็นสมมุติ พระอรหันต์ไม่มีจิต มีจิตคือมีภพ มีสถานที่ จิตเดิมแท้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้เป็นผู้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส มหายานบอกว่าเจอพุทธะเจอจิตให้ฆ่าจิตก่อน เจอจิตให้ฆ่าจิตก่อนนะ เจอพุทธะเจอพระพุทธเจ้าที่ไหนต้องฆ่าพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ฆ่าพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ก็ตัวจิตนี่ไง ถ้าไม่ฆ่าพระพุทธเจ้าก็จิตเดิมแท้ ไม่มีการไปไม่มีการมา

ถ้าจะศึกษามหายาน ศึกษาเรื่องเซนต้องทำความเข้าใจกับมันให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจนะคำพูดเราตีความผิดหมด มันเป็นโศลก เป็นคำที่เขาเรียกว่าอุปมาอุปไมย มันเป็นคำพูดให้เราเข้าไปทำลายกิเลส “จิตไม่มีการไปไม่มีการมา ท่านตอบว่าจิตแท้ไม่มีการไปและไม่มีการมา” ไม่มีการไปไม่มีการมา ถ้าคำพูดของพระอรหันต์เราก็ฟังได้ แต่ถ้าจิตเดิมแท้ไม่มีการไปไม่มีการมา ไม่มีการไปไม่มีการมา มีมันอยู่ก็คือตัวภพไง คือตัวอวิชชา

นี่พูด ถ้าเป็นตัวอวิชชา นี่พูดถึงความจริงนะ แต่ถ้าเป็นปุถุชนมันเป็นสัญญา มันเป็นการสร้างภาพ ไม่ใช่อะไรเลย เราตีความว่าพวกนี้ปุถุชนหมดนะ ไอ้หัวโล้นมันถามว่าหลวงพ่อไม่ได้ขั้นหรือ ไม่มี กูไม่เชื่อ เขายังคิดว่าอย่างน้อยก็เป็นอนาคา ไอ้ที่เราไปนั่น ที่บอกว่าละความกลัวได้เป็นอนาคา เราบอกไม่ใช่ อนาคาต้องละกามราคะ ถ้าอย่างนั้นผมไปเป็นสกิทา สกิทาก็ไม่ใช่ สกิทาก็ต้องแยกกายและจิต อย่างนั้นผมเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันก็ไม่ใช่ อย่างนั้นผมก็เป็น แหะๆๆ ไอ้นี่ก็นั่งฟังอยู่ด้วย

เราไปเจออย่างนี้มาเยอะ พอคิดอะไรได้ก็คิดว่าตัวเองเป็นพระอนาคา แล้วก็สร้างอารมณ์เป็นอนาคากัน เราไปคุยมาแล้ว นั่งฟังอยู่ด้วย แหะๆๆ ลืมหรือยังก็ไม่รู้ แต่เราไม่ลืมนะ พอเราไปคุยกับใครที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์จะไม่ลืม แต่พวกนี้มันจะลืม เพราะอะไร เพราะมันฟังเหมือนนิยาย แต่สำหรับเราไม่ใช่นะ เราเหมือนหมอนะ เหมือนหมอนี้คืออาการไข้ คนที่เป็นอาการไข้ เราเป็นหมอ เราเห็นอาการไข้ เราเข้าใจถึงเชื้อ เชื้อมันแตกต่าง เชื้อพัฒนาการไหม กิเลสมันเป็นอย่างไร เราคุยกับใครเรื่องธรรมะนะ จริงๆ นะ ไม่ลืมนะ ฝังเลยละ ถ้ามานะ ถ้าใครพูดธรรมะกับเราไว้นะ ถ้ามาครั้งต่อไปนะ ถ้าจำคนนี้ได้นะต่อได้เลยนะ ไม่ต้องปูพื้นใหม่ ถ้าธรรมะได้คุยกับใครนะ ล็อกไว้เลยนะ ไม่มีเคลื่อน ไม่มีเคลื่อน ถ้าคุยเรื่องอื่นนะ กูจำไม่ได้ เคลื่อนหมด แต่เรื่องธรรมะนะ ใครคุยกับเราไว้แล้วนะ ล็อกไว้เลย ล็อกไว้เลย ไม่มีเคลื่อน

ประเด็น: ผมได้มาดูจิตต่ออีกสักครึ่งปีต่อมา วันหนึ่งจิตผ่านเข้าไปสู่อัปปนาสมาธิและเดินวิปัสสนาคือมีสิ่งให้รู้ ผ่านมาสู่จิต แต่จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าคือสิ่งใด จากนั้นเกิดอาการแยกความว่างขึ้นแบบเดียวกับจิตยิ้ม

หลวงพ่อ: ก๊อบปี้แล้วไหมละ แหะๆ แบบเดียวกับจิตยิ้ม โสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค แบงค์ร้อยกับแบงค์ห้าร้อยกับแบงค์พันเหมือนกันไหม แบงค์ร้อย แบงค์ห้าร้อย แบงค์พันเหมือนกันหรือเปล่า ไม่เหมือนทั้งขนาดของแบงค์ ไม่เหมือนทั้งจำนวนค่าของมัน แล้วนี่กลับไปเหมือนจิตยิ้มครั้งนั้น เป็นไปไม่ได้

ประเด็น: จากนั้นเกิดอาการแยกความว่างแบบเดียวกับเมื่อจิตยิ้ม คราวนี้จิตพูดขึ้นเบาๆ ว่าจิตไม่ใช่เรา ต่อมาจากนั้นแทนที่จิตจะยิ้ม จิตก็กลับพลิกไปสู่ภูมิของสมถะ ปรากฏว่านิมิตเป็นดวงหรืออาทิตย์โผล่ผุดขึ้นมาจากสิ่งห่อหุ้ม แต่โผล่ไม่หมดดวง เป็นสิ่งแสดงให้รู้ยังไม่ถึงที่สุดแห่งการภาวนา

หลวงพ่อ: ฮ่า กูก็นึกว่าเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

ประเด็น: ปรากฏการณ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การดำเนินของจิตในขั้นวิปัสสนานั้นหากสติอ่อนลง จิตจะวกกลับสู่ภูมิของสมถะและวิปัสสนูกิเลสจะแทรกเข้ามาตรงนี้ ถ้าไม่กำหนดให้รู้ชัดเจนว่าวิปัสสนาพลิกกลับเป็นสมถะไปแล้ว นักปฏิบัติต้องระวังให้มากโดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยพบกับจิตยิ้ม สำหรับสำนวนของหลวงปู่ดูลย์หรือใจสำนวนหลวงปู่เทสก์

หลวงพ่อ: แล้วสำนวนหลวงตาอยู่ไหนล่ะ เอาแต่คนที่ตายไปแล้วจะได้เถียงไม่ได้ไง คนที่ยังไม่ตาย ไม่กล้าอ้างนะ เดี๋ยวเถียง

ประเด็น: หรือจิตรวมใหญ่ สำนวนอาจารย์สิงห์

หลวงพ่อ: ไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าจิตรวมใหญ่ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ จิตยิ้มก็ไม่ใช่ เราจะเถียงในนี้เราเน้นไว้แล้ว เดี๋ยวจะมาฉะเรื่องสมาธิกับปานาสมาธิวิปัสสนา วิปัสสนา ก็ไหนว่าไม่ต้องทำสมาธิไง แล้วถึงที่สุดแล้วบอกว่าที่หลวงปู่ดูลย์บอก บอกว่ามันผ่านฌานที่ ๘ แล้วบอกว่าไม่ต้องทำสมาธิไง แล้วบอกสมาธิไม่ต้องทำ สมถะไม่ต้องทำเพราะฌานเป็นของเนิ่นช้า ทำอย่างนั้นมันจะเป็นฌาน ก็ชาญโกหกไง

ถ้าสมาธิจริง สมถะจริงมึงบอกว่าไม่ต้องทำ ทำแบบไม่เป็นทำแบบนั้น แล้วจะเป็นสมาธิจริง เพราะอะไร เพราะไม่ได้ตั้งใจทำ ตั้งใจทำไม่ต้องทำเดี๋ยวมันได้ ไม่ต้องทำแล้วมันจะได้ เอ้ย ปวดหัวเว่ย นี่ไงลัดสั้นไง ไอ้หัวโล้นเอาโน้ตบุ๊คมาให้ฟัง เราก็พูด คนเราถ้าทัศนคติมันเป็นอย่างนี้มันจะพูดอะไรก็แล้วแต่ มันจะพูดกลับมาชักเข้ามาที่ลัดสั้น นี้คำว่าลัดสั้น ลัดสั้นแล้ว ลัดสั้นแล้วต้องมีผล ถึงใครภาวนาไม่รู้เรื่องก็เป็นโสดาบัน ให้ผลเขาเลย เพราะลัดสั้นแล้วไม่รู้เอ็งเป็นโสดาบัน โอ้โฮ คนนี้มาขยันมาก อยากทำมาก เอ็งทำจนตายก็ไม่ได้คนนี้

ถ้าอีกคนที่มาแล้ว ปูเสื่อแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน กินแล้วนอน ไอ้คนนี้จะได้เป็นโสดาบันเพราะมันภาวนาไม่เป็น ลัดสั้นไม่ต้องทำอะไรเลยแล้วเป็น โดยทัศนคติของเขา เขาคิดแบบนี้คำพูดมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ไง โดยทัศนคติไง เราจะมาโปรโมทเรื่องลัดสั้น ง่าย ทำแล้วได้ผลเร็ว ฉะนั้นการทำที่ลำบาก การทำแล้วที่จะเป็นจริงจัง ขยันหมั่นเพียรจงใจไม่มีทางได้ ขี้เกียจขี้คร้าน นอนจม ไม่เอาไหน ไม่ทำอะไรเลย ภาวนาไม่เป็น ไอ้พวกนี้จะได้ มันเลยไม่เป็นความจริงทั้งคู่ไง สิ่งที่พูดเลยไม่มีมูลความจริงไง แต่สนองทัศนคติไง ไม่มีมูลความจริงอะไรทั้งสิ้นเลย แต่สนองทัศนคติของตัวที่จะชูทฤษฎีนี้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ทฤษฎีนี้มีความจริงนะ มหายาน เซนมีความจริงนะ

เราเชื่อเรื่องปัญญาวิมุตติ เราเทศน์ปัญญาวิมุตติอยู่ตลอดเวลา มหายานนี่คือปัญญาวิมุตติ แต่เขาทำจริงจังตามมรรคที่เป็นจริง หลวงปู่ดูลย์ก็เป็นจริง เราเชื่อหลวงปู่ดูลย์ด้วยใจร้อยเปอร์เซ็นเลย แล้วเรายังวิตกไปข้างหน้าด้วยเพราะเราเคารพหลวงปู่ดูลย์อยู่ เพราะธรรมดาด้วยความเคารพพระผู้ใหญ่กับพระเด็ก เราเป็นผู้น้อยตามมา เป็นพระในศาสนาพุทธด้วยกัน หลวงปู่ดูลย์เราเคารพ แล้วท่านพูดจริงด้วย แล้วเราวิตกอยู่ วิตกว่าต่อไปข้างหน้าทฤษฎีของหลวงปู่ดูลย์จะโดนแก้ไข โดนบิดเบือนโดยลูกศิษย์ของเขาที่เข้าไม่ถึง เราห่วงตรงนี้ที่สุด เราไม่ห่วงอะไรเลย เราไม่ห่วง

จะว่าไม่ห่วงก็ไม่ได้นะ ไม่ห่วง เรามาพูดกับไอ้หัวโล้น บอกที่กูออกมาให้เขาหนีบมือ กูบอกว่าเรื่องของเขานะ กูอยู่เฉยๆ กูไม่ทุกข์เลย ทำไมกูต้องเอามือเข้าไปซุกหีบ กูซุกหีบเพราะอะไร กูซุกหีบเพราะสงสารพวกมึง สงสารชาวพุทธ ไหนบอกว่าไม่ห่วง ไม่ห่วงไง ก็ห่วงชาวพุทธ ห่วงคนโดนหลอก แต่จริงๆ แล้วอย่างอื่นไม่ต้องห่วง เพราะคำสอนทฤษฎีของหลวงปู่ดูลย์ถ้าโดนบิดเบือน โดนเอามาอ้างอิงมันจะโดนหลอกลึกซึ้งไปกว่านี้ไง

หลวงปู่ดูลย์เราเชื่อนะเพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านมีครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ท่านมีหลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ ท่านหมั่นเพียร ท่านมีการกระทำของท่าน แล้วด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน แล้วท่านมีครูบาอาจารย์ที่คอยกรอง คอยชี้ถูก ชี้ผิดให้เข้าถึงหลักความจริงได้ แต่ไอ้พวกนี้ไปหาหลวงปู่ดูลย์เหมือนกัน แล้วอย่างที่เมื่อกี้เห็นไหม เมื่อกี้เราไป เขาบอกเขาไปหาหลวงปู่ดูลย์ตลอดเวลา เขาไปหาหลวงปู่ดูลย์ตลอดเวลานะ พอไปทีไรหลวงปู่ดูลย์บอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่จิตตลอด ใช่ไหม แล้วนี่มาถึงบอก ใช่ ทุกทีเลย แล้วบอกไม่ต้องมาหาเราอีกด้วย นี่เรื่องของเขานะ

ประเด็น: เมื่อผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ว่าดีแล้ว ให้ดูจิตต่อไป ผมก็ทำเรื่อยมา ส่วนมากเป็นการดูจิตในชีวิตประจำวัน ไม่เคยนั่งสมาธิเป็นพิธีการ

หลวงพ่อ: แหม่ เห็นไหม

ประเด็น: ต่อมาอีกหนึ่งเดือน วันหนึ่งขณะที่นั่งสนทนาธรรมอยู่กับน้องชาย จิตเกิดวูบลงไป มีการแยกความว่างซึ่งมีขันธ์ละเอียด วิญญาณขันธ์ออกอีกทีหนึ่ง แล้วจิตก็หัวเราะออกมาเองโดยปราศจากอารมณ์ ร่างกายไม่ได้หัวเราะ มันเป็นการหัวเราะเยาะเย้ยกิเลสว่ามันผูกมัดมานาน ต่อไปนี้จิตจะเป็นอิสระยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความรู้ชัดว่า ทำไมเมื่อครั้งพุทธกาลจึงมีผู้รู้ธรรมในขณะที่ฟังธรรมเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมาก ผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ คราวนี้ท่านไม่ได้สอนอะไรอีกเลยเพียงแต่ให้กำลังใจว่าให้พยายามทำให้จบเสียแต่ในชาตินี้ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพ ครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่งเคยสั่งให้ผมเขียนเรื่องการปฏิบัติของตนเองเผยแพร่เพราะอาจมีผู้มีจิตที่คล้ายๆ กันได้ประโยชน์บ้าง ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสนองตามครูบาอาจารย์และระลึกถึงหลวงปู่ดูลย์

หลวงพ่อ: ไอ้เรื่องนี้เราคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลนะ ไอ้เรื่องเขียนๆ เขียนๆ เรานี่นะ นี่โทษนะ พูดอย่างนี้ไม่ใช่อวดตัวนะ ไอ้เรื่องประวงประวัติทุกคนจะมาขอ เขามาขอเก็บประวัติเราหลายคนแล้วนะ เราไม่ให้ทำ เราไม่ให้ทำหรอก ไอ้พวกนี้ ไอ้หมาขี้มันชอบยกหาง ไอ้พวกยกหางมันชอบยกหาง แล้วก็บอกว่าอ้างคนโน้นให้เขียน คนนี้ให้เขียน ถ้ามึงไม่เขียนมันก็ไม่เขียน พวกหมาขี้ คือจริงๆ อยากเขียน แล้วบอกคนโน้นให้เขียน คนนี้ให้เขียน ประวัติเรานี่ใครมาขอ ขอเก็บประวัติ บอกไม่ได้ ไม่ได้

แล้วเราห่วงมากเรื่องนี้ ไม่อยากให้มี เพราะเราเห็นหลวงตา หลวงตาท่านมองโลกและก็ตัวท่าน แล้วอย่างเช่นอีกองค์หนึ่งที่ว่าสักแต่ว่า สักแต่ว่า เราก็ค้าน ทีนี้คำว่าค้านอย่างนี้ปั๊บ เราก็ค้านกับหัวโล้นนี้ไป กลัวมันจะเอาไปออกในนี้ไง เราจะดูว่าหัวโล้นมันจะเอาไปออกบ้างไหม ไอ้พิจารณาสักแต่ว่า สักแต่ว่า สักแต่ว่านี่เป็นพระอรหันต์พูดนะ ถ้าเป็นเราพูดไม่ได้ เราถึงพูดกลับ เดี๋ยวนี้เราพูดกลับนะ บอกว่าสมมุตินี่เป็นจริงนะ ชีวิตก็เป็นจริงนะ จิตกับร่างกายนี้เป็นจริงนะ จริงตามสมมุติหมด

ฉะนั้นไอ้อย่างที่เขาพูดนะ คือหนังสือนี่เขาพูดมานานแล้ว ไอ้อย่างนี้เรารู้มานานแล้ว แต่วันนี้ เอามานี้ เราพูดเป็นหลักฐาน เมื่อก่อนเรื่องนี้เราไม่เคยพูดเลยนะ แต่เดิมก่อนหน้านั้นเราจะไม่พูดเรื่องนี้ เพราะสังคมนะ เราเป็นลูกศิษย์หลวงตา หลวงตาท่านเตือนมาบ่อย บอกอย่าเป็นโรคตาแดง โรคตาแดงคือโรคอิจฉา เห็นใครได้ดีตาแดงไง เราไม่อยากพูดเพราะเรากลัวเป็นโรคตาแดง ชาวบ้านจะเข้าใจผิดว่าเราเป็นโรคตาแดงคือเราอิจฉาตาร้อนเขาไปทั่ว

สังเกตเรื่องนี้เราไม่เคยพูดเลย อย่างนู้นก็เหมือนกัน อย่างอะไรนะ โอนบุญ โอนบุญ เราไม่พูดถึงเลยเพราะพูดออกไปเขาจะหาว่าเราอิจฉาไง ใครดังไม่ได้นะ ใครดังก็เที่ยวอิจฉาเขาไปทั่วเลย เราถึงพยายามจะไม่พูด แต่คราวนี้จะพูด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันตกกระไดพลอยโจน เพราะเขาเอาชื่อเราไปอ้างอิงบ่อยใช่ไหม เราได้ตกกระไดลงมาแล้วนะ พอเราตกกระไดลงมาแล้วเราต้องรับผิดชอบ

เราจะพูดละ แต่เดิมไม่ค่อยพูดเรื่องนี้นะ ไม่พูด ไม่พูดเพราะว่าเขาเป็นพระด้วยกัน แล้วเขาจะทิฐิของเขา อย่างที่สงสารขนาดไหนมันก็กรรมของสัตว์ แต่คราวนี้เราตกกระไดลงมาแล้ว ไอ้หัวโล้นมันทำให้กูตกกระได เราจะพูดละ มีมาสิ อย่างนี้ค้านหมดเลย ค้านหมด ไม่เป็นอย่างนี้หรอก อย่างที่ว่า ครั้งสุดท้ายที่คุยอยู่กับน้องชาย เขาจะบอกว่าเขาได้อีกขั้นหนึ่ง “ขณะนั่งสนทนาธรรมอยู่กับน้องชายจิตเกิดรวมวูบลงไป มีการแยกความว่าง ซึ่งมีขันธ์ละเอียด วงเล็บวิญญาณขันธ์ออกอีกทีหนึ่ง แล้วจิตก็หัวเราะออกมาเองโดยปราศจากอารมณ์ วงเล็บร่างกายไม่ได้หัวเราะด้วย เป็นการหัวเราะเยาะเย้ยกิเลส มันผูกมัดมานาน ต่อไปนี้จิตจะไม่..เป็นอิสระขึ้นมาแล้ว”

นั่งคุยกับน้องชายแล้วเกิดวูบ เรามีอาการความดีใจหรือมีความสุข โทษนะ คนกินเหล้า แหม่ มันได้จิบ ไอ้นี่ ไวน์นะ มันได้จิบแรกนี่ โอ้โฮ ว่าง มันปล่อยหมดเลย มันเป็นพระอรหันต์ไหมนะ ไม่เป็นอย่างนี้หรอก จิตมันลง มรรค ๘ นะ สติพร้อมปัญญาพร้อม มีเหตุมีผล มีมรรคญาณ มรรคญาณคือมรรครวมตัว มีกิเลส มีสถานที่ มีความพร้อม หลวงตาท่านพูดขนาดว่าครั้งสุดท้าย ของท่าน จิตมันเกิดมัธยัสถ์ จิตมันเกิดมัธยัสถ์คือมันหดตัวเข้ามาเป็นตัวของมัน เป็นอิสระของมัน

คำว่าอิสระของจิตคือตัวจิตตัวภพกิเลสมันอยู่ที่นี่ ถ้าไปละข้างนอก โสดาบัน สกิทา อนาคา มันละที่ขันธ์ ละที่สิ่งแวดล้อม ละที่จิตมันออกไปเกาะเกี่ยว สังโยชน์มันผูกมัด มันไปมัดกับสิ่งใด สักกายทิฐิ ความเห็นผิด รู้สิ่งต่างๆ ในโลก มันปล่อยเข้ามา ขาดเข้ามาจนถึงตัวมันเอง พอถึงตัวมันเอง มันเป็นมัธยัสถ์ ท่านใช้คำว่ามัธยัสถ์ คือมันหดเข้ามาถึงตัวของมัน แล้วมันทำลายตัวมันยุบสลายลง พึ้บ มันจะมีหัวเราะอะไรกัน อารมณ์ความรู้สึกที่ว่ากำลังคุยกับน้องอยู่ คุยกับน้องอยู่ แล้วมันไปเป็น นี่ไงลัดสั้นของเขาไง

คนเป็นอย่างนี้เยอะมากนะ เวลาเดินจงกรมไปมันเกิดภาพ เกิดนิมิตอะไรขึ้นมา เกิดความว่าง คนมาหาเยอะ ทำไมเป็นอย่างนี้ เห็นกายทีหนึ่งไง เห็นอะไรทีหนึ่ง มันจะเกิดอาการแปลกประหลาดมากนะ จิตนี้มันจะมหัศจรรย์มาก ไม่อย่างนั้นนะในวงกรรมฐานเรานี่คนถึงติดเยอะ แล้วคนพลาดมาเยอะ พลาดเพราะอะไร เพราะไปรู้ไปเห็นอย่างหนึ่ง แล้วพอพลาด พอไปเห็นแล้วมันจะปล่อยนะ โอ้โฮ ว่างมากนะ เหมือนกิเลสไม่มีนี่สุขมากเป็นเดือนเลย แต่พอมันคลายออกมานะ โอ้ย นิพพานกูหายไปเลยนะ ทุกข์มาก แล้วคนมาร้องไห้อย่างนี้เยอะ นี่เขาเรียกว่าตทังคปหานไง ไม่ใช่สมุจเฉทหรอก

เพราะขณะคุยอยู่ แต่เวลาพวกเราเดินจงกรม เวลามันขาด มันขาดในทางจงกรมนะ เวลามันขาดในทางจงกรม ขณะเดินจงกรมอยู่จิตมันหดเข้ามา จิตมันพิจารณาเข้ามา เวลาขาดนะ เราเดินจงกรมอยู่ มันถอนกายกับจิต เดินจงกรมอยู่นะ เดินจงกรมอยู่นะจิตมันลง พอจิตมันลงมันเห็นนิมิต นิมิตเป็นแม่น้ำสองสายมันเข้ามาชนกันแล้วแยกออกจากกัน มันปล่อยหมดเลย พอมันปล่อยหมดนะ เดินจงกรมอยู่นะ มันเห็นใบไม้ใบหนึ่ง ใบไม้ข้างทางจงกรม ปัญญามันหมุนนะว่าใบไม้นี้ถ้าหมักมันจะเป็นปุ๋ย ถ้ามันแห้งเขาเก็บไปจุดไฟมันจะเป็นฟืนได้ ใบไม้ใบเดียวมีค่ามากกว่าร่างกายนี้อีก

ความรู้สึกของจิตนะ ใบไม้ใบเดียวมันมีค่ากว่าร่างกายนี้ทุกๆ อย่าง มันปล่อยขนาดนั้นนะ เวลามันปล่อย ขนาดนี่ถ้ามันเดินจงกรมอยู่ มันเคลื่อนไหวอยู่ มันปล่อยได้อย่างไร แต่ความสมดุลของมันโดยที่มรรคที่มันรวมตัวอย่างไร ไอ้นี่คุยอยู่กับน้องชาย คำว่าคุยอยู่ มันมีโต้ตอบใช่ไหม มันไม่ใช่ตัวมันเองใช่ไหม แต่เวลาเราเดินจงกรมนี่นะมีความคิดไหม มี แต่ความคิดนี่มันเป็นสมาธิ มันเป็นวงในไง มันไม่ได้ออกมา โลกียะ โลกุตตระ โลกียะ สามัญสำนึกเห็นไหม โลกียะ สัญชาตญาณสามัญสำนึกที่เราออกรู้นี่โลกียะ แต่ถ้ามันถอนกลับ ถอนกลับเห็นไหม โลกุตตระ ปัญญาจิต ปัญญาเกิดจากภายใน มันลึกซึ้งกว่าสัญชาตญาณ ลึกซึ้งกับความคิดออก

โลกนี้เป็นความคิดออก ความคิดที่เราออก ที่ว่าเรามีปัญญากัน เขาเรียกส่งออก แม้แต่คิดนี้ส่งออกหมด ส่งออกหมด คำว่าส่งออกเป้าอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ที่จิต แล้วจะฆ่ากิเลสได้อย่างไร ทวนกระแสกลับเห็นไหม ทวนกระแสกลับ นี่ที่ว่าปัญญาจากจิต แล้วโต้ตอบกับน้องชายอยู่ แปลกอยู่ เอามาเถอะน่า เรามั่นใจว่านะ เรามั่นใจว่าทัศนคติมันผิดมาหมด บอกอย่างนี้เลย ตัวจิตมันผิด ตัวความรู้ต้นขั้วมันผิด ถ้าต้นขั้วมันผิดสิ่งที่ออกมาจากต้นขั้วนั้นผิดหมดเลย

ฉะนั้นเขาถึงมาถามเราว่าไม่มีอะไรเลยหรือ กูมั่นใจว่าไม่มี ถ้ามีต้นขั้วมันต้องถูกบ้าง พอต้นขั้วมันถูกพระโสดาบันพูดผิดไม่ได้ พระโสดาบันพูดธรรมะไม่ผิดในขั้นของโสดาบันเด็ดขาด แล้วนี้ขั้นโสดาบันกับขั้นปุถุชน ถ้าขั้นโสดาบันไม่ผิด ขั้นปุถุชนมันจะมีความหมายอะไร มันก็สอนถูกไง เราจะบอกว่าพระโสดาบันนะไม่สอนชาวบ้านผิดๆ พระโสดาบันไม่สอนชาวบ้านผิดๆ ถ้ายังสอนผิดๆ อยู่ ถ้ายังสอนผิดๆ อยู่นะ พระโสดาบันว่าอย่างไรรู้ไหม

พุทธมามกะ ไม่ผิดในศีล ๕ พระโสดาบันไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือออกนอกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วมันผิดออกจากธรรมะ พระโสดาบันไม่สอนผิดแล้วนะ เพราะอะไร เพราะพื้นฐานพวกเรา เราจะเข้ามาใช่ไหม มันจะเปิดทางพวกเราเข้ามา เปิดทางจากปุถุชน เป็นกัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล มันจะผิดไปได้อย่างไร มันจะชักเราเข้ามา ทวนกระแสเข้ามา

แล้วนี่นะมันรับไม่ได้ตรงผู้หญิงคนนั้น หนูไม่เป็นนะ หนูไม่รู้นะ พระโสดาบันเขาปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่ แต่อาจารย์ไปการันตีว่าเขาเป็นโสดาบัน เราถือกระดาษมา เขาบอกว่าแบงค์ร้อย เราบอกว่าไม่ใช่ แต่คนบอกแบงค์ร้อย แบงค์ร้อย ต้องให้เราเชื่อว่าแบงค์ร้อยไหม เราต้องเชื่อว่านี่เป็นแบงค์ร้อยด้วยหรือเปล่า ก็เราถือเรามาว่านี่ไม่ใช่ แต่อาจารย์บอกว่านี่แบงค์ร้อย พระโสดาบันไง ก็มันแบงค์ร้อยที่ไหน ก็มันกระดาษอยู่นี่ ก็เอ็งไม่รู้ถึงเป็นแบงค์ร้อยไง ถ้าเอ็งรู้ไม่ใช่

ถ้าหลักอันนี้มันถูก เขาจะพูดผิดอย่างนั้นไหม ถ้าหลักอันนี้ถูกนะ พวกนี้ก็เป็นอาจารย์สอน ถ้าเอ็งรู้วิชาการจริง เอ็งสอนลูกศิษย์ผิดได้ไหม นี่เอ็งสอนลูกศิษย์ไปอีกอย่างหนึ่ง นี่ไปสอนนักเรียนก็ไปสอนอีกอย่างหนึ่งนะ แล้วเขาบอกว่าเอ็งเรียนมาอย่างไร แล้วเอ็งไปสอนอย่างนั้นได้อย่างไร นี้อาจารย์เก๊นะสิ ต้องตรวจสอบแล้วนี่ อาจารย์จริงอาจารย์ปลอม

กูเห็นอย่างนี้นะ กูถึงไม่รับหรอกเพราะเราไม่ได้ดูจากต้นขั้วนี้ ดูที่ผลงานที่เขาสอนออกไปเละมาก ผลงานที่เขาทำออกไปในสังคมมันเละ เละสุดๆ เลย แล้วเอ็งจะยอมรับกันได้อย่างไร แล้วเอ็งก็สงสัย เอ็งก็เอาต้นขั้วมาให้กูดูเลย แต่ผลงานของมัน มันฟ้องมาที่นี่ แต่เราก็เชื่อมั่นอยู่แล้วว่าต้นขั้วนี่ผิด ผิดจริงๆ ยืนยันว่าผิด ยืนยัน เราดูถูกมากนะ สมาธิก็ไม่ต้องทำ สติไม่ต้องทำ สมาธิก็ไม่ต้องทำ แล้วเวลาบอกว่าฌาน ๘ คำว่าฌานของหลวงปู่ดูลย์นะ เราว่าเขาฟังผิด มรรค ๘ ถ้ามรรคไม่รวมตัว มรรคไม่สมดุลมันเป็นพระโสดาบันไม่ได้

เราพูดบ่อย มรรคสามัคคีเห็นไหม เขาพูดอีกคำหนึ่งนะ เขาบอกว่าในพระไตรปิฎกมันมีเทวดามาพูดกับพระพุทธเจ้าบอกว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ย้อนเกล็ดไง เทวดาพูดอย่างนี้เราทุกข์ เราสอนไม่จมและไม่ฟู เขาบอกว่าไม่จมกับไม่ฟูไง เขาบอกว่านี่คือทางสายกลาง บอกว่าไม่ใช่นะ ไม่จมมันก็อยู่ในกิเลส ใช่ไหม ไม่ฟูมันก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค แต่มัชฌิมาปฏิปทานี่พอดี มันต้องมีที่มาใช่ไหม อยู่ดีๆ จะพอดีได้อย่างไร

พอเขาบอกว่าไม่จมและไม่ฟูก็ธรรมดาวิมุตติที่กูว่านี่ เฉยๆ แล้ววิมุตติ คือถ้าอยู่เฉยๆ ไม่ฟูและไม่จมไง มันต้องขยันหมั่นเพียรนะ ไม่ใช่ไม่ฟูคือไม่จม แต่เราต้องทำ เราจะพูดถึง ไอ้พวกทำขนมปัง พวกอะไรนี่เห็นไหม แป้งเขาต้องนวดให้พอดี เอ็งเอาแป้งมากองไว้ แล้วบอกว่ากูจะทำซาละเปาได้ไหม ก็ไม่ต้อง ไม่ฟูไง แล้วก็ไม่ยุบด้วย พอดี เอาแป้งมาวางๆๆ ก็นั่งรอ เดี๋ยวขนมปังมันออกมา

มันเป็นไปไม่ได้ คือคำสอนมันเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ฟูก็เอ็งทำแป้งมา ทุกอย่างมา ทุกอย่างยื่นมา ผสมแล้ว นวดแล้วให้พอดี นั่นนะ พอดี เห็นไหม ไม่ฟูและไม่ลอยเกินไป แต่เราต้อง โอ้โฮ กว่าจะไม่ฟูนะ โอ้โฮ กูนวดเกือบตาย แล้วก็พอดี พอดีตรงนี้ เขาจะพูดตรงนั้นประจำ พูดให้อยู่เฉยๆ แล้วไม่ต้องทำอะไร คือผล

เราจะบอกว่าชาวพุทธต่อไปมันจะ หนึ่งนะ หลวงตาจะบอกเลย หลวงตาท่านพูดบ่อย สักแต่ว่าไม่ได้ เฉื่อยชาไม่ได้ ต้องหมั่นเพียร หลวงตาเคยสอน ต้องหมั่นเพียร ความเพียรชอบ ต้องเข้มแข็ง แต่พอบอกว่า พอพูดเข้มแข็ง เราบอกว่าพระป่านี่ทำเกินกว่าเหตุเพราะต้องแบบว่าธรรมดาวิมุตติไง ธรรมชาติ ธรรมชาติ โอ้ย ฟังแล้วนะอันเดียวกันเลย

ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ การเกิดเป็นธรรมชาติ ถ้ารู้เป็นทางธรรมชาติก็ปล่อยธรรมชาติ จริงหรือวะ เมื่อก่อนเรื่องวัณโรค เมื่อก่อนแก้ไม่หาย เดี๋ยวนี้ทางการแพทย์แก้หาย วัณโรคแก้หายหมดแล้ว เดี๋ยวนี้เราตกใจเรื่องวัณโรค ไม่ตกใจเลยนะ มึงนิพพานหรือยัง ธรรมชาติไง ถ้าเราเข้าใจถึงทฤษฎี เข้าใจถึงธรรมจริงๆ แล้ว เราจะไม่ตกใจ ตื่นเต้นไปกับมันเพราะเราเข้าใจ แล้วหายจากกิเลสไหม นี่ไง เป็นธรรมชาติไง เพราะเราเข้าใจหมด ทุกอย่างเราเข้าใจหมด ธรรมะเป็นธรรมชาติ ทุกสิ่งเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมหมดเลย คนเกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา อ้าว รู้ทุกคน เป็นพระอรหันต์เหมือนกันหรือยัง อันเดียวกันเลย ธรรมดาวิมุตติไง

เกิดมานะ แล้วก็นั่งกินนอนกินมึงวิมุตติ ธรรมดาวิมุตติ ไม่ต้องทำอะไรนะ ห้ามทำด้วย เขาเข้าใจธรรมะผิด เข้าใจทางโลก ตรึกขึ้นมาแล้วก็คิดกันเอง พระพุทธเจ้า หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านทำมา ท่านลงทุนลงแรงมาแล้วท่านถึงพูดคำนี้ออกมาเพราะท่านทำมาแล้วประสบความสำเร็จแล้วท่านถึงพูด อย่างพวกเรา พ่อแม่เหนื่อยเกือบตาย หาเงินหาทองมา เราก็รับมรดกมา เสือกรักษาสมบัติพ่อแม่ไม่เป็นด้วยนะ

มรดกเราได้มาฟรีๆ ธรรมะนี้ได้มาฟรีๆ แต่พระพุทธเจ้ากว่าจะได้มาเกือบตาย ครูบาอาจารย์ก็เกือบตาย แต่เราเอามาแล้วนะ โอ้โฮ กูได้ธรรมะมาฟรีๆ ง่ายๆ ธรรมดาวิมุตตินะ รักษาธรรมะนี้ไม่เป็น รักษาสมบัติของพ่อแม่ไว้ไม่ได้ แล้วไม่มีใครสืบต่อ ไม่มีใครรื้อค้นถึงธรรมะ แล้วจะหมดไป เราวิตกวิจารเรื่องนี้พอสมควรเราถึงพูดไง แล้วอย่างว่าละต่อไป เมื่อก่อนไม่พูดเรื่องนี้เลยนะ แล้วต่อไปเราจะทำเว็บไซต์แล้ว

ถ้าเว็บไซต์เราออกไปนะ คนที่ไม่พอใจเขาจะต่อต้านเข้ามาเยอะมาก แล้วเราพูดกับไอ้ลูกศิษย์ เราบอกว่าจะไปแก้อย่างที่เอ็งคิดจะไปแก้กันไม่ได้หรอกเพราะอย่างเช่นเรา เรามีความเห็นอย่างหนึ่ง แล้วพวกเราจะมาแก้ไขความเห็นเรา เราก็ต้องมีทิฐิมานะเป็นธรรมดา ถ้าเรามีความเห็นอย่างหนึ่ง แล้วเรามีเว็บไซต์ของเรานะ เราจะเสนอความเห็นอีกอย่างหนึ่ง นี้ความเห็นนี้คือข้อมูล ๒ ฝ่าย ถ้าใครมีจริตใครมีนิสัยฟังความทั้ง๒ ฝ่าย แล้วใครจะเชื่อข้อมูลอันไหนมันก็กรรมของสัตว์ใช่ไหม แต่เราไม่ไปโต้แย้งคือไม่ไปชี้ ไม่ไปทะเลาะเบาะแว้งกับใคร

ถ้าเราตั้งเว็บไซต์ขึ้นมาได้แล้ว เราตั้งแน่ๆ เพราะเราสร้างตึกแล้ว ตึกเสร็จ คอมพิวเตอร์เข้าเสร็จ เว็บไซต์กูออกทันที ถ้าออกไปแล้วนะ เพราะเราเป็นคนออกเอง ในเมื่อเราทำเองเราจะไม่รับผิดชอบได้อย่างไร ในเมื่อเราทำเองข้อมูลทั้งหมดเราต้องแก้ไขทั้งหมด แล้วเมื่อนั้นกูจะเสนอข้อมูลอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่ไปโต้แย้ง ไม่ไปรุกรานใครนะ อย่างนี้มันจะแก้ไขได้ เราบอกจะแก้ไขสังคมต้องแก้ไขอย่างนี้ คือเราต้องให้ข้อมูล ให้ปัญญากับเขาไง ให้ปัญญา ให้ข้อมูลกับเขา ให้เขาเข้าใจ ให้เขาเองมีความเห็นของเขา ไม่ใช่ให้เขาไปฟังแต่ความเห็นอันหนึ่งอันเดียว

แล้วเวลาพวกเราเอาไปออก ของเราที่ไปออกในพันทิปในที่ต่างๆ มันเป็นการพูดแทน คนที่พูดแทนมันไม่รู้จริง มันเลยไม่เข้าถึงข้อมูล ไอ้คนรู้จริงกำลังจะพูด กำลังจะพูด เอาจริงๆ นะ คราวนี้เอาแล้ว เราจะเอาแล้ว แต่ขอให้ตึกเราเสร็จก่อน เราไปถึงบอกว่าเซิร์ฟเวอร์อะไรอะไรเขาบอกกูแล้วนะ เข้าห้าร้อยสายก็ร้อนแล้วนะ เขาบอกหลวงพ่อใหม่ๆ เราเช่าเขาก่อนก็ได้ แล้วพอมันเต็มที่แล้วเราค่อยซื้อ ถ้าซื้อแล้ว เออ มันคิดกันเอาเอง มันคิดมาให้ดีก็แล้วกัน ถึงเวลาเขาจะเช่าสักสองสามปีแรกก่อน ไปเช่าเขาไว้ก่อน เซิร์ฟเวอร์อะไรของเขาตัวละสองแสนนะ สองสามแสน

แต่เมื่อถึงเวลาแล้วอย่างที่หลวงตาว่า หัวใจคนมีคุณค่ามากกว่าเยอะเลย แล้วถึงเวลาแล้วค่อยๆ ทำไป ถึงเวลาแล้วต้องมาขันน็อตไว้บ่อยๆ บอกว่าอย่ามีอารมณ์ ใครจะด่า ใครจะว่า เฉย แล้วเอ็งปริ้นท์มาให้กูอ่านก็แล้วกัน เขาไม่ได้ด่ามึง เขาด่ากู ถ้าคนเราไปมีอารมณ์กับเขานะ เขาด่ามา เขาแหย่ แล้วเราไปโต้ตอบกับเขาคือมันเสียหายเปล่าๆ ใครจะด่า ใครจะว่านะ เราก็เอาออก ปริ้นท์มาให้เราดู ถ้าอันไหนมันเป็นแบบว่าเขาเปิดหน้ามา โอ้โฮ กูสอยกลับเลยละ มันจะได้ชัดๆ ไง เอามาให้ดู อันไหนไม่ดีก็ลงถังขยะ ถ้าอันไหนดีเราก็ตอบออกไป ตอบออกไป พอตอบออกไปเห็นไหม เราเสนอข้อมูล ๒ ด้าน

เราถึงบอกมัน บอกว่าเราจะทำงานอย่างนี้ ไม่ใช่ไปทำงานอย่างมึงทำ ฟังกูพูดแล้วก็ไปลงคอมพิวเตอร์ แล้วก็ไปชนกับเขา แล้วเขาก็รุมตีนกระทืบเลย แล้วมึงก็ตอบเขาไม่ได้ก็ร้องไห้มาหากูอยู่นี่ เออ ถ้าเป็นกูนะ ไอ้..... เขารุมกระทืบมานะ โอ้โฮ ใส่ไปทีละข้อ ละข้อ โอ้โฮ มันตายห่าเลย ถ้าเรามีเวลานะ กลัวอย่างเดียว กลัวไม่มีเวลาเพราะงานเราเยอะนะ ถ้ามีเวลาเราจะเคลียร์ไปเรื่อยๆ คือเราจะเสนอข้อมูล ๒ ฝ่าย

เขากลัวตรงนี้มาก เราพูดอย่างนี้ไง เราพูดบอกโจรนี่มันปล้น คนเราไปฉ้อโกง ไปโกงเขามา มึงกลัวตำรวจไหม คนเราถ้ามันมีความผิดในหัวใจมัน มันต้องรู้ตัว เราบอกลูกศิษย์ไอ้หัวโล้นเข้าไป เขาถามเราว่าเขารู้ตัวไหม กูยืนยันล้านเปอร์เซ็นว่าเขารู้ตัว เขารู้ว่าเขาผิด กูกล้ายืนยัน เหตุผล เหตุผลทำไมเขาส่งคนมากราบเท้ากูทุกวันเลยละ ทำไมเขาส่งคนมาล็อบบี้กูประจำละ คนเรานี่ถ้าไม่มีความผิด เขากับเราก็ไม่รู้จักกัน ทำไมส่งคนมาฝากมากราบเท้าครับ ฝากมากราบเท้าครับจนเราเอะใจนะ เอ๊ะ ทำไมเขามากราบเท้าเราทุกวัน ทุกวัน ทำไมมากราบเท้ากันบ่อยๆ งงมากนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่งงแล้ว

ถ้าสำหรับเรานะ ถ้าคนไหนดี เราก็ดีหรือสังคมก็เป็นอย่างนั้นเราก็รับรู้ แต่เราไม่ไปยุ่งกับใครหรอก แต่ถ้าเรารู้ว่าเรามีความผิดใช่ไหม เราก็กลัวเขาจะมารู้ความผิด แล้วเราทำอะไรถึงมีความผิด เราสร้างอะไรเราไม่เคยผิดว่าเราผิดเราถูกนะ เราทำถูกต้อง เรามั่นใจของเรา อย่างเช่นเราดูเมื่อวานหลวงตา ตอนนี้เราคิดมาก ทุกคนบอกว่าต้องให้เป็นหลวงตา หลวงตาก็พูดมาคำหนึ่ง มีพวกโยม พวกแม่ชีก็ไปกราบหลวงตาว่าเขาเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ถามหลวงตาบอกว่าแล้วจะให้หนูทำอย่างไร หลวงตาบอกว่าเราไม่เห็นถามใครเลย คือพระอรหันต์ไม่ต้องถามใครไง พระอรหันต์จะรู้ในจิตใจพระอรหันต์ว่าควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไรละ พระอรหันต์จะไปประชุมพระอรหันต์ว่ากูควรทำอะไรอีกหรือ พระอรหันต์ไม่ต้องไปประชุมใครนะ ใจพระอรหันต์สมบูรณ์แล้ว แล้วใจพระอรหันต์รู้ว่าพระอรหันต์ควรทำอย่างใด

หลวงตาท่านพูด มีพวกลูกศิษย์นะ บอกว่าสิ้นกิเลสแล้วไปถามว่าแล้วพวกหนูจะทำอย่างไรต่อไปละ ทำไมเราไม่เห็นถามใครเลย ถ้าเราไม่ได้โจรปล้น เราจะไปกลัวอะไร เราเคารพหลวงตา เคารพครูบาอาจารย์เรานะ แต่ถามได้ทุกคนว่าเราเคยกราบไปฝากความระลึกถึงใคร อย่าว่าแต่กราบนะ ความระลึกถึงเราเคยฝากไปถึงใคร ทุกคนมาหาเราลูกศิษย์จะไปหาคนโน้นหลวงพ่อจะฝากอะไร ไม่ฝาก ถ้ากูฝาก มันจะอ้างว่ากูยอมรับมัน กูไม่ใช่โจร กูไม่มีแผล กูพร้อมจะพิสูจน์ ความรู้สึกเรานะ จริงๆ นะ ไม่สนใครและไม่กลัวใครเลย แต่ทำไมมันต้องมากราบเท้ากูประจำ ส่งคนมา ไอ้นี่เพิ่งพูดเมื่อวานนี้ ที่เขาส่งมานักเรียนนอกหมดนะ ไฮโซทั้งหมดนะ ทำไมไม่ยอมรับเขา เวลาเขาส่งมาหาเราเกรดเอหมดเลย เอ็งว่าเขารู้ตัวไหม เขาไม่รู้ตัวเขาล็อบบี้กูทำไม

ตรงนี้ไม่อยากจะพูดนะ มันยิ่งพูดแล้วมันอยู่ในนี้ไง คือประสาเราว่าทุจริตแล้วมึงทำไปสิ มึงอย่ามาฉ้อฉลแล้วมาหลอกให้กูเข้าในแก๊งมึงด้วย กูไม่ยอมเข้าแก๊งมึงหรอก กูมีความสามารถพอ กูทำของกูได้ มึงฉ้อฉลกัน แล้วมาพยายามจะล็อบบี้กูให้เข้าไปอยู่ในแก๊งมึง มึงดึงกูมาตกกระไดนะ กูจะชนกับมึงแล้วละ กูเอาแล้ว เอวัง